ความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐฯ2018-03-13T13:37:22-04:00

ความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐฯ

1. ประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ของไทย – สหรัฐฯ

ประเทศไทยเป็นพันธมิตรที่ยาวนานที่สุดในทวีปเอเชียของสหรัฐฯ ซึ่งความสัมพันธ์เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2376 เมื่อทั้งสองประเทศร่วมลงนามสนธิสัญญาไมตรีและการค้าในยุคประธานาธิบดีแอนดรู แจ็คสัน กับพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 แห่งราชวงศ์จักรี โดยการลงนามสนธิสัญญาในครั้งนั้น  ทั้งสองประเทศปฏิญาณที่จะสร้าง “สันติภาพอันถาวร” ซึ่งสนธิสัญญาฉบับนี้เป็นความภาคภูมิใจของชาวไทยเนื่องจากเป็นสนธิสัญญาฉบับแรกที่สหรัฐฯ เข้ามาทำในกลุ่มประเทศอาเซียน

1.1 แฝดสยาม

ชื่อเสียงของแฝดสยามเป็นผลทำให้คำว่า “สยาม” เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก แฝดสยามอินจันเกิดจากบิดาที่เป็นชาวประมงเชื้อสายจีนกับมารดาชาวไทย ในปี พ.ศ. 2354  เด็กชาย อินและจัน มีร่างกายติดกัน ตั้งแต่หน้าอกจนถึงเอว เมื่อครั้งยังเยาว์วัย อินและจันเรียนรู้การเดิน วิ่ง และว่ายน้ำด้วยความสามารถที่พิเศษ แม้ว่าการกระทบกระทั่งระหว่างกันจะเกิดขึ้นในบางครั้ง พวกเขาก็ยังมีความสามัคคีกันอย่างอัศจรรย์ตลอดชั่วชีวิต ชีวิตของอินและจันถึงจุดผกผันเมื่อ โรเบิร์ต ฮันเตอร์ พ่อค้าชาวอังกฤษในกรุงเทพจูงใจมารดาของคู่แฝดให้อนุญาตให้พวกเขาติดตามไปกับเรือของกัปตันอาเบล คอฟฟิน ไปสู่สหรัฐฯ จนในที่สุดเมื่อปี พ.ศ.2371 อินและจันได้เดินทางไปสหรัฐฯด้วยวัยเพียงแค่ 17 ปี

ทันทีทีอินและจันอำลาประเทศไทย กัปตันคอฟฟินผู้มีอำนาจในการปกครองคู่แฝดสยามคู่นี้ได้เริ่มจัดการเดินสายแสดงฝาแฝดทั้งคู่ตามเมืองใหญ่ในยุโรปและอเมริกาเพื่อแสวงหากำไรให้กับตัวเอง  อย่างไรก็ตาม  อินและจันพัฒนาแนวความคิดทางธุรกิจด้วยตัวพวกเขาเอง และออกจากการปกครองของกัปตันคอฟฟินในปี พ.ศ. 2374 ซึ่งหลังจากนั้นพวกเขาได้จัดการแสดงเองอย่างเป็นอิสระ การแสดงของพวกเขามีทั้งการแสดงกีฬาและสติปัญญา ตัวอย่างเช่น การขี่ม้า และการเล่นหมากรุก ฝาแฝดคู่นี้โด่งดังเป็นอย่างมากในสหรัฐฯ จนพวกเขาได้สัญชาติเป็นพลเมืองอเมริกันในปี พ.ศ. 2382 และเปลี่ยนไปใช้นามสกุล บังเกอร์

หลังจากการตั้งรกรากด้วยการซื้อที่ดินประมาณ 110 เอเคอร์ ในรัฐนอร์ธคาโรไลน่า อินกับจันได้แต่งงานกับสองพี่น้องชาวอเมริกัน คือ ซาร่าและอะเดแลด เยทส์ จนในที่สุด อินและซาร่ามีบุตรด้วยกัน 12 คน ส่วนอะเดแลดและจันมีบุตรด้วยกัน 10 คน

ในปี พ.ศ. 2417 ฝาแฝดทั้งคู่ได้เสียชีวิตลงด้วยโรคปอดบวม ความโด่งดังของอินจันเป็นต้นกำเนิดของคำว่า “แฝดสยาม” หรือ “Siamese Twins” ที่กลายเป็นศัพท์เฉพาะใช้เรียกคู่แฝดตัวติดกันนับตั้งแต่อินและจันได้เสียชีวิตลง

2. ความสัมพันธ์ในยุคหลังประวัติศาสตร์

2.1. การแลกเปลี่ยนการมาเยือนในระดับสูง

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช พระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบันของประเทศไทย ทรงประสูติเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 ณ. เมืองแคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเสท ในระหว่างที่สมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ซึ่งเป็นพระบิดาของพระองค์ กำลังศึกษาทางด้านสาธารณสุขและการแพทย์อยู่ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ตั้งแต่ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช เสด็จครองราชสมบัติมานานกว่า 60 ปี พระองค์ได้เสด็จเยือนสหรัฐฯ 2 ครั้ง ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2503 และอีกครั้งในปี พ.ศ. 2510

King Bhumibol Adulyadej Square ณ เมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์

ส่วนการมาเยือนประเทศไทยของเจ้าหน้าที่ปกครองระดับสูงของสหรัฐฯ นั้น ประธานาธิบดีบิล คลินตันและภริยา ได้มาเยือนประเทศไทยเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2539 เพื่อร่วมงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 50 ปีแห่งการครองราชย์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งการเดินทางมาเยือนประเทศไทยของประธานาธิบดีคลินตันเป็นการมาเยือนครั้งแรกของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในรอบ 27 ปี หลังจากการมาเยือนของประธานาธิบดีนิกสันในปี พ.ศ. 2512 และในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2546 ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ได้มาเยือนกรุงเทพมหานครฯ เพื่อร่วมการประชุมสุดยอด APEC ประธานาธิบดีบุช เดินทางกลับมาอีกครั้งเมื่อเดือนสิงหาคม 2551 เพื่อร่วมประชุมกับนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น

ล่าสุดนี้ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ได้มาเยือนกรุงเทพมหานครเมื่อวันที่ 14-15 พฤศจิกายน พ.ศ.2555 การเดินทางครั้งนี้เป็นการเดินทางต่างประเทศครั้งแรกภายหลังจากการชนะการเลือกตั้งสมัยที่สองของประธานาธิบดีโอบามา ซึ่งได้รับการต้อนรับโดยนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร และยังได้เข้าเฝ้าฯพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชอีกด้วย

Photo Credit : 25 November 1996: King Bhumibol Adulyadej shakes hands with US First Lady Hillary Rodham Clinton as President Bill Clinton looks on during their meeting at Chitrlada Palace in Bangkok (Reuters)
www.ibtimes.co.uk

Photo Credit : 19 October 2003: US President George W Bush toasts with Thailand’s King Bhumibol Adulyadej as they take part in a State Dinner at the Royal Grand Palace in Bangkok Jason Reed/Reuters
www.ibtimes.co.uk

Photo Credit : 18 November 2012: US President Barack Obama, with Secretary of State Hillary Rodham Clinton and Ambassador Kristie Kenney, meets with King Bhumibol Adulyadej of the Kingdom of Thailand, at Siriraj Hospital in Bangkok Official White House Photo by Pete Souza
www.ibtimes.co.uk

2.2 ความสัมพันธ์ด้านรัฐสภา

กลุ่มมิตรประเทศไทยในรัฐสภาสหรัฐฯ หรือ Congressional Friends of Thailand Caucus (FoTC) ก่อตั้งเมื่อวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2552 โดยมีประธานร่วมโดยสมาชิกรัฐสภาจากทั้งพรรคเดโมแครทและพรรคริพับลิกัน และยังมีสมาชิกอื่นๆ จากทั้ง 2 ฝ่ายอีกด้วย จุดมุ่งหมายของกลุ่มพันธมิตรกลุ่มนี้เป็นไปเพื่อการประชุมหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับสหรัฐฯ และยังเพื่อเสริมสร้างความเป็นพันธมิตรระยะยาว เพื่อที่ทั้งสองประเทศนี้จะสามารถรับมือกับความท้าทายและโอกาสในอนาคตของภูมิภาคนี้ได้

ปัจจุบัน คณะกรรมการกลุ่มมิตรประเทศไทยในรัฐสภาสหรัฐฯ มีสมาชิก 20 คนจากสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ

นอกจากนี้ ในปี พ.ศ. 2545 รัฐสภาไทยได้ก่อตั้ง “กลุ่มมิตรสมาชิกรัฐสภาไทย-อเมริกา” เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกของฝ่ายนิติบัญญัติทั้ง 2 สภา โดยในปัจจุบัน กลุ่มความร่วมมือนี้ประกอบด้วยสมาชิก 106 คน 94 คนมาจากสภาผู้แทนราษฎร และอีก 15 คนมาจากวุฒิสภา

3. พันธมิตร ไทย-สหรัฐฯ

3.1 ประวัติศาสตร์

ความร่วมมือทางการเมืองของไทยกับสหรัฐฯแน่นแฟ้นขึ้นเมื่อย่างเข้าศตวรรษที่ 20 โดยในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐบาลสหรัฐฯได้สนับสนุนการเคลื่อนไหวของเสรีไทย ซึ่งเริ่มขึ้นโดยหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมทย์ เอกอัครราชทูตไทยในสหรัฐฯ ในขณะนั้น การเคลื่อนไหวครั้งนี้ได้จุดประกายการเคลื่อนไหวที่คล้ายกันในประเทศอังกฤษ และได้รับการสนับสนุนมากยิ่งขึ้นจากกลุ่มใต้ดินที่ต่อต้านการบุกรุกของญี่ปุ่นในประเทศไทย ความสัมพันธ์ที่เติบโตขึ้นระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ของสหรัฐฯ กับไทยเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้ประเทศไทยก้าวพ้นสงครามโลกครั้งนี้ได้อย่างมีเกียรติ และยังคงเอกราชของประเทศชาติไว้ได้ นอกจากนี้ยังเป็นการแสดงถึงจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งทุกด้านของทั้งไทยและสหรัฐฯ ซึ่งรวมไปถึงความร่วมมือทางการเมือง การทหารและเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศมาโดยตลอดแม้ภายหลังช่วงสงครามเย็น

ในช่วงสงครามเย็น ความร่วมมือหลักระหว่างประเทศไทยกับสหรัฐฯ ถูกจำกัดเพียงแค่ทางการทหารและการเมือง หลักการความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ในยุคนี้คือการให้ความร่วมมือในการต่อสู้กับการครอบงำของลัทธิคอมมิวนิสต์ ซึ่งเป็นลัทธิที่คนไทยเห็นว่าขัดแย้งกับแนวทางการดำเนินชีวิตและวัฒนธรรมของตน ประเทศไทยให้ความช่วยเหลือสหรัฐฯ เสมือนเป็นแนวหน้าเพื่อป้องกันการขยายตัวของลัทธิคอมมิวนิสต์ ทั้งนี้ ความสัมพันธ์ทางการเมืองและการทหารระหว่างสองประเทศพัฒนามากขึ้นอีกในช่วงสงครามเกาหลีและสงครามเวียดนาม

นอกจากนี้ ประเทศไทยเป็น 1 ใน 5 ประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค และเป็น 1 ในเพียง 2 ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่สหรัฐฯ มีข้อตกลงในการรักษาความมั่นคงทวิภาคีด้วย หลังจากการสิ้นสุดสงครามเกาหลี ในปี พ.ศ. 2493 ไทยได้ลงนามข้อตกลงช่วยเหลือทางการทหารกับสหรัฐฯ และในปี 2497 มีการลงนามร่วมในกติกามะนิลา (The Manila Pact) ซึ่งระบุว่าการคุกคามความมั่นคงของประเทศไทยถือเป็นการคุกคามต่อสหรัฐฯ เช่นเดียวกัน กติกาถูกเน้นย้ำอีกครั้งโดยแถลงการณ์ร่วมของถนัด-รัสก์ (Thanat-Rusk Joint Communiqué) ในปี พ.ศ. 2505

ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2546 ประธานาธิบดีบุชขนานนามประเทศไทยว่าเป็นชาติพันธมิตรหลักนอกกลุ่มนาโต้ ซึ่งทำให้ประเทศไทยได้รับความช่วยเหลือจากต่างชาติและความช่วยเหลือทางการทหารเป็นพิเศษจากสหรัฐฯ ซึ่งการช่วยเหลือดังกล่าวรวมถึงการรับรองด้านเครดิตสำหรับการซื้ออาวุธหลัก ด้วยความเป็นชาติพันธมิตรหลักนอกกลุ่มนาโต้ ประเทศไทยยังได้รับการเป็นส่วนร่วมของโครงการยุทโธปกรณ์ส่วนเกิน (Excess Defense Articles–EDA) ซึ่งอนุญาตให้โอนรับเรือรบและยุทโธปกรณ์ที่ใช้แล้วจากสหรัฐฯ ได้

3.2 ความร่วมมือทางการเมือง

ด้วยการตระหนักถึงกลยุทธ์ที่สำคัญของไทยและเสถียรภาพทางด้านอิทธิพลของสหรัฐฯ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รัฐบาลไทยและสหรัฐฯ จึงร่วมมือกันที่จะเสริมสร้างความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ของทั้งสองประเทศในการส่งเสริมสันติภาพ เสถียรภาพและความเจริญรุ่งเรืองในภูมิภาค ซึ่งการเจรจาเกี่ยวกับแนวทางความร่วมมือทางการเมืองดังกล่าวได้เกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อเดือน มิถุนายน พ.ศ. 2555 โดยการประชุมกรอบความร่วมมือทางยุทธศาสตร์ไทย-สหรัฐ ครั้งที่ 4 (The 4thThailand – U.S. Strategic Dialogue) นำโดยนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว ปลัดกระทรวงการต่างประเทศของไทย และนายเคิร์ท แคมป์เบล ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ฝ่ายทวีปเอเชียตะวันออกและเอเชียแปซิฟิก

ทั้งนี้ คณะผู้แทนทั้งสองฝ่ายเน้นย้ำความสำคัญของการรวมกลุ่มในระดับภูมิภาค โดยสหรัฐฯ ยืนยันที่จะสนับสนุนสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN) และบทบาทที่สำคัญของ ASEAN ในการพัฒนาโครงสร้างของภูมิภาค รัฐบาลทั้งสองฝ่ายเน้นย้ำว่าจะยังคงสนับสนุนความร่วมมือที่มากขึ้นต่อเนื่องในกิจการอื่นๆ ของภูมิภาค ซึ่งความร่วมมือดังกล่าวได้แก่ ประเทศลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่าง (Lower Mekong Initiative – LMI) การประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค (ASEAN Regional Forum – ARF) การประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมคู่เจรจา (ASEAN Defense Miniters Meeting – Plus — ADMM+) การประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจในเอเชียแปซิฟิค (Asia-Pacific Economic Cooperation forum — APEC) และการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก (the East Asia Summit — EAS) ในการเจรจาด้านยุทธศาสตร์ ผู้แทนไทยกล่าวสรุปถึงความเชื่อมโยงระหว่างสหรัฐฯ และภูมิภาคอาเซียน และการพัฒนาในด้านบวกของภูมิภาค  ซึ่งการเติบโตนี้รวมไปถึงขั้นตอนในการบรรลุเป้าหมายการเป็นประชาคมอาเซียนภายในปี พ.ศ. 2558  สหรัฐฯ เน้นย้ำที่จะสนับสนุนขั้นตอนการสร้างประชาคมอาเซียนต่อไป

Photo Credit : https://pixabay.com

3.3 การร่วมมือทางการทหาร

สหรัฐฯ กับไทยมีข้อตกลงทางความมั่นคงมาช้านาน โดยความร่วมมือดังกล่าวรวมไปถึงการฝึกทหารและการซ้อมรบร่วมกันทั้งสองประเทศหรือ Cobra Gold ซึ่งเป็นสนามซ้อมรบของสหรัฐฯ ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย

การฝึกซ้อมรบระหว่างทหารไทยและสหรัฐฯ ณ สนามฝึกรบ Cobra Gold

การเสวนายุทธศาสตร์ความมั่นคงไทย-สหรัฐฯ (the Thai – U.S. Defense Talk) เป็นการประชุมสำคัญเกี่ยวกับความร่วมมือของนโยบายด้านความมั่นคงและเป็นการปรึกษาร่วมกันเกี่ยวกับประเด็นต่างๆ ซึ่งการอภิปรายเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของภาระผูกพันไทยและสหรัฐฯ ในการร่วมมือด้านความมั่นคง โดยมีพื้นฐานจากการให้ความสำคัญและเคารพซึ่งกันและกัน ทั้งสองฝ่ายยังได้ตกลงที่จะเสริมสร้างกองทัพให้แข็งแรงดั่งพันธมิตรที่แท้จริงของศตวรรษที่ 21 โดยมุ่งสนับสนุนสันติภาพ ความมั่นคงและความเจริญ รวมทั้งสนับสนุนเสถียรภาพด้านความมั่นคงของโลก โดยเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2555 มีการเสวนายุทธศาสตร์ความมั่นคง จัดโดยพลเอกทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน ปลัดกระทรวงกลาโหม และนายมาร์ค ลิปเปิร์ท ผู้ช่วยรัฐมนตรีกลาโหมฝ่ายกิจการความมั่นคงในเอเชียแปซิฟิค (APSA) โดยทั้งสองฝ่ายเน้นย้ำถึงความสำคัญของความความต่อเนื่องในการร่วมมือเพื่อความมั่นคงระดับภูมิภาคและระดับโลก รวมทั้งการสร้างความร่วมมือในการช่วยเหลือด้านสันติภาพ ดังเช่น ความสำเร็จของภารกิจกองทัพไทยในดาร์ฟูร์ เช่นเดียวกับปฏิบัติการป้องกันโจรสลัด ที่กองทัพเรือไทยยังคงเป็นผู้นำและเตรียมกำลังความพร้อมสำหรับภารกิจรวมกำลังข้ามชาติ 151 (Force 151) ในอ่าวเอเดน  และสืบเนื่องมาจากการร่วมมือสหรัฐ-ไทยในครั้งเหตุการณ์สึนามิในมหาสมุทรอินเดียเมื่อปี 2547 และพายุไซโคลนนาจีสในปี 2551 ทั้งสองฝ่ายปฏิญาณในการขยายความร่วมมือในการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและบรรเทาภัยพิบัติต่อไปอีกด้วย

ในปัจจุบันความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศในการเป็นพันธมิตรอย่างแท้จริงในศตวรรษที่ 21 ยังมีความท้าทายมากมายรออยู่ ซึ่งรวมไปถึงการรับมือต่อภัยธรรมชาติและภัยที่มาจากน้ำมือมนุษย์เอง การเผชิญหน้ากับภัยคุกคามข้ามชาติ การสนับสนุนการรักษาสันติภาพโลก และประเด็นการรักษาความมั่นคงแห่งชาติในเขตแดนทางทะเล ซึ่งทั้งสองฝ่ายมุ่งเน้นสี่ด้าน ได้แก่ 1) การเป็นหุ้นส่วนเพื่อความมั่นคงในภูมิภาคในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 2) สนับสนุนเสถียรภาพในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคและดินแดนที่ไกลกว่านั้น 3) การทำงานร่วมกันในระดับทวิภาคีและพหุภาคี 4) การสร้างความสัมพันธ์ การประสานงานและความร่วมมือในทุกระดับ เหล่านี้ได้สะท้อนในการร่วมแถลงวิสัยทัศน์ปี 2555 และนอกจากนี้ไทยและสหรัฐฯ ได้มีการลงนามพันธมิตรเพื่อความมั่นคงในศตวรรษที่ 21 ระหว่างพลอากาศเอกสุกำพล สุวรรณทัตและนายลีออน ปาเน็ตต้า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ความท้าทายทางความร่วมมือทางการทหารล่าสุดเกิดจากเหตุการณ์รัฐประหารปี 2557 สหรัฐฯ ประกาศตัดความช่วยเหลือทางการทหารกับไทย 3.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งตามกฎหมายของสหรัฐฯ รัฐบาลมีหน้าที่ที่จะต้องระงับความช่วยเหลือทางทหารกับกองทัพต่างชาติซึ่งโค่นอำนาจการปกครองรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง

การลงทุน

การลงทุนโดยตรงจากสหรัฐอเมริกา (FDI)  ในประเทศไทย (หุ้น) มีมูลค่า 11.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปีพ.ศ. 2554 เพิ่มขึ้นจากปีพ.ศ. 2553 ร้อยละ 7.6 การลงทุนในประเทศไทยโดยบริษัทสหรัฐฯ ส่วนใหญ่อยู่ในภาคโรงงานอุตสาหกรรมและการธนาคาร

การลงทุนของประเทศไทยในสหรัฐฯ (หุ้น) มีมูลค่า 118 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปีพ.ศ. 2554 ลดลงร้อยละ 25.3 จากปีพ.ศ. 2553  การกระจายการลงทุนของประเทศไทยในสหรัฐฯ ไม่ปรากฏในปีพ.ศ. 2554

การขายบริการสินค้าในประเทศไทยโดยบริษัทเอกชนสหรัฐฯ ส่วนใหญ่มีมูลค่า 4.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปีพ.ศ. 2543 ในขณะที่การขายบริการสินค้าในสหรัฐฯ โดยบริษัทที่คนไทยเป็นเจ้าของมีมูลค่า 151 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

(ข้อมูลจาก สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกา

; http://www.ustr.gov/countries-regions/southeast-asia-pacific/thailand)

Go to Top