การจัดตั้งธุรกิจในสหรัฐฯ
(FORM A BUSINESS)
ก่อนที่จะจัดตั้งธุรกิจในสหรัฐฯ ผู้ประกอบการควรทำการสำรวจตลาดและวางแผนการทำธุรกิจเสียก่อน เพื่อให้มีความเข้าใจในตลาด และมีความพร้อมในการเริ่มทำธุรกิจ
8 ขั้นตอนในการจัดตั้งธุรกิจในสหรัฐฯ
ทั้งนี้เพื่อเป็นการหลีกเหลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ผู้ประกอบการสามารถขอคำแนะนำเพิ่มเติมได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย จากหน่วยงาน Small Business Administration (SBA) และหน่วยงานที่ทำงานร่วมกันกับ SBA ซึ่งเป็นทำหน้าที่ช่วยเหลือธุรกิจขนาดเล็กในสหรัฐฯ
ที่มา: https://www.sba.gov/business-guide/10-steps-start-your-business/
การเลือกรัฐและทำเลที่ตั้ง
ผู้ประกอบการ จะต้องมีการจดทะเบียนธุรกิจ จ่ายภาษี ขอใบอนุญาตต่างๆจากรัฐบาลระดับรัฐที่ผู้ประกอบการเลือกเป็นที่ตั้งของสถานประกอบการ เพราะฉะนั้นแล้ว นอกเหนือจากการเข้าถึงกลุ่มลูกค้า ที่ตั้งของคู่ค้าทางธุรกิจ (เช่น ผู้ผลิตสินค้าและวัตถุดิบ ผู้จัดจำหน่าย) และความชอบส่วนตัวแล้ว ผู้ประกอบการ ควรทำการวิเคราะห์โอกาส ต้นทุนทางธุรกิจ กฎระเบียบ การเข้าถึงแหล่งเงินทุน ไปจนถึงสภาพแวดล้อมของทำเลที่ตั้งนั้นๆ เพื่อพิจารณาคัดเลือกรัฐ และทำเลที่เหมาะสมที่จะช่วยให้ธุรกิจประสบผลสำเร็จ การเลือกรัฐและทำเลที่ตั้ง ควรคำนึงปัจจัยต่างๆ อาทิเช่น
ค่าใช้จ่ายที่แปรผันตามการเลือกสถานที่
ต้นทุนหรือค่าใช้จ่ายบางอย่างในการเริ่มทำธุรกิจ อาจจะสูงขึ้นหรือต่ำลงแปรผันไปตามสถานที่ที่เลือกใช้ประกอบการ ซึ่งต้นทุนหรือค่าใช้จ่ายที่มักจะแปรผันตามสถานที่นั้นได้แก่ เงินเดือนเฉลี่ย ค่าแรงขั้นต่ำตามกฎหมาย ค่าเช่าสถานที่ มูลค่าอาคาร ค่าประกันภัยธุรกิจ ค่าใช้จ่ายสาธารณูปโภค และค่าธรรมเนียมการขอใบอนุญาต เป็นต้น
กฎหมายการแบ่งเขต (Zoning Ordinance)
ในประเทศสหรัฐอเมริกา จะมีกฎหมายเกี่ยวกับการจัดเขตย่านธุรกิจหรือย่านค้าขาย ให้อยู่แยกกันกับย่านที่อยู่อาศัย และในบางพื้นที่ยังมีกฎในการจำกัดหรือห้ามธุรกิจบางประเภทประกอบการในย่านนั้นๆ
ธุรกิจที่มีหน้าร้าน อาจจะมีข้อจำกัดมากกว่า ธุรกิจที่ไม่มีหน้าร้าน แต่อย่างไรก็ดี ในบางพื้นที่อาจจะมีกฎหมายการแบ่งเขตบางอย่างที่บังคับใช้แม้ว่าเป็นธุรกิจที่ทำจากที่บ้านก็ตาม โดยกฎหมายเรื่องนี้จะออกโดยรัฐบาลท้องถิ่นของเมืองนั้นๆ ผู้ประกอบการจะต้องศึกษาเรื่องกฎการจัดเขตย่านธุรกิจกับหน่วยงานภาครัฐท้องถิ่น
ภาษี
ระบบการจัดเก็บภาษีในสหรัฐฯ นั้นมีการจัดเก็บตั้งแต่ระดับรัฐบาลกลาง (Federal) จนถึงระดับรัฐบาลท้องถิ่น ซึ่งคือ รัฐ(State) เทศมณฑล(County) และเมือง(City) ทั้งนี้ภาษีที่จัดเก็บโดยระดับรัฐ เทศมณฑล และเมืองนั้น จะมีความแตกต่างกันออกไปตามกฎระเบียบและนโยบายในแต่ละพื้นที่ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ภาษีเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ควรคำนึงถึงในการเลือกที่ตั้งของสถานประกอบการ ซึ่งภาษีที่ถูกจัดเก็บโดยส่วนใหญ่นั้นจะมีภาษีรายได้ (Income tax) ภาษีการขาย (Sales tax) ภาษีที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ (Property tax) และภาษีนิติบุคคล (Corporate tax)
รัฐบาลระดับรัฐและท้องถิ่นมีการจัดเก็บภาษีให้เหมาะสมกับสภาพท้องถิ่นหรือสภาพเศรษฐกิจในพื้นที่นั้น เช่นบางท้องถิ่นไม่จัดเก็บภาษีภาษีเงินได้ส่วนบุคคล เพื่อดึงดูดให้คนมาทำงาน หรือบางท้องถิ่นไม่เก็บภาษีเงินได้นิติบุคคล เพื่อสร้างแรงจูงใจในการลงทุนและกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่นั้น อีกทั้งในบางรัฐยังมีนโยบายด้านภาษีเพื่อดึงดูดให้ธุรกิจบางประเภทมาลงทุน ซึ่งนี้เป็นเหตุผลที่ทำให้กลุ่มสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยี สถาบันการเงิน และโรงงานผลิตสินค้า มักจะตั้งอยู่ในพื้นที่ที่แตกต่างกันไปในประเทศสหรัฐฯ
ผู้ประกอบการ สามารถหาอัตราภาษีรวมทั้งสิทธิลดหย่อนต่างๆได้จากเว็บไซต์ของรัฐบาลของรัฐและรัฐบาลท้องถิ่นที่ท่านสนใจ
สิทธิประโยชน์ (Incentives)
รัฐบาลระดับรัฐและระดับท้องถิ่น
รัฐบาลระดับรัฐและระดับท้องถิ่นบางแห่ง มีนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจขนาดเล็ก เพื่อดึงดูดให้ผู้ประกอบการมาลงทุนในพื้นที่ ตัวอย่างเช่น การให้สิทธิประโยชน์ทางด้านภาษี การให้กู้ยืมจากแหล่งเงินทุน การค้ำประกันเงินกู้ การระดมทุนสาธารณะ การให้เงินทุนสนับสนุน(Grant Program) เป็นต้น นอกจากนี้ในบางพื้นที่ยังมีหน่วยงานที่ให้ความช่วยเหลือธุรกิจขนาดเล็กในเรื่องของการให้คำปรึกษาในด้านต่างๆ อาทิเช่น การทำแผนธุรกิจ การนำเข้าส่งออก การทำวิจัยตลาด การผลิตสินค้า การจัดซื้อสินค้า การทำสัญญา ทั้งนี้ผู้ประกอบการ สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมและค้นหาที่ตั้งของหน่วยงานในพื้นที่ได้ที่เว็บไซต์ SBA Offices Small Business Development Centers และ Women’s Business Centers
รัฐบาลกลาง
รัฐบาลกลางจะให้สิทธิประโยชน์แก่ธุรกิจขนาดเล็กที่ทำธุรกรรมกันกับหน่วยงานรัฐบาล และตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ยังไม่ได้ใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ หรือที่เรียกว่า HUBZone ซึ่งผู้ประกอบการ สามารถตรวจสอบพื้นที่ที่เข้าข่ายอยู่ใน HUBZone ได้ที่เว็บไซต์ Historically Underutilized Business Zones (HUBZone) program
ที่มา
https://www.sba.gov/business-guide/launch-your-business/pick-your-business-location
ก่อนที่จะจดทะเบียนนิติบุคคล ผู้ประกอบการต้องเลือกรูปแบบธุรกิจที่จะจัดตั้งเสียก่อน เพราะรูปแบบธุรกิจนั้นจะเป็นตัวกำหนดการเสียภาษี ความสามารถในการระดมทุน เอกสารที่ต้องใช้ในการจดทะเบียน และขอบเขตความรับผิดชอบต่อภาระหนี้สิ้น
แม้ว่ารูปแบบธุรกิจอาจจะสามารถขอปรับเปลี่ยนได้ในภายหลัง กฎหมายของบางรัฐก็อาจมีข้อจำกัด ซึ่งการขอปรับเปลี่ยนภายหลังอาจจะยังมีผลกระทบไปถึงการเสียภาษีย้อนหลัง หรืออาจจำเป็นต้องเลิกธุรกิจนั้น รวมถึงความยุ่งยากอื่นๆ ดังนั้นผู้ประกอบการควรพิจารณาเลือกรูปแบบธุรกิจที่เหมาะสมก่อนจดทะเบียน การปรึกษาที่ปรึกษาด้านการจัดตั้งธุรกิจ ทนายความ หรือนักบัญชี อาจจะช่วยให้ตัดสินใจได้ดีขึ้น
กฎของแต่ละรัฐอาจมีความแตกต่างกันในเรื่องของรูปแบบของธุรกิจ และในบางรูปแบบอาจจะไม่มีในบางรัฐ ทั้งนี้รูปแบบของธุรกิจโดยทั่วไปในสหรัฐฯ มีดังต่อไปนี้
1. กิจการเจ้าของคนเดียว (Sole Proprietorship)
กิจการเจ้าของคนเดียวคือธุรกิจที่มีบุคคลคนเดียวเป็นเจ้าของ ข้อดีของรูปแบบธุรกิจแบบนี้คือ สามารถจัดตั้งได้ง่าย เจ้าของกิจการสามารถควบคุมการดำเนินงานของกิจการได้ทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว และแม้จะเป็นธุรกิจแบบเจ้าของคนเดียว ก็สามารถขอชื่อหรือเครื่องหมายการค้า (Trade name) ได้
หากธุรกิจไม่ได้มีการจดทะเบียนเป็นรูปแบบอื่นแล้ว ธุรกิจนั้นจะถูกกำหนดให้เป็นรูปแบบกิจการเจ้าของคนเดียวโดยอัตโนมัติ
อย่างไรก็ดีธุรกิจในรูปแบบนี้ จะไม่มีการแยกทรัพย์สินและหนี้สินของธุรกิจ ออกจากทรัพย์สินและหนี้สินของส่วนตัวของเจ้าของกิจการ ดังนั้นเจ้าของกิจการจะได้รับรายได้ทั้งหมดของธุรกิจ และในขณะเดียวกันก็จะต้องรับผิดชอบภาระหนี้สินทั้งหมด โดยอาจจะทำให้ต้องใช้ทรัพย์สินส่วนตัว ชำระหนี้สินของธุรกิจที่เกิดขึ้น
ถึงแม้ว่าการจัดตั้งธุรกิจในรูปแบบนี้จะไม่ค่อยมีความยุ่งยาก รัฐบาลท้องถิ่นในบางพื้นที่ได้มีการมีออกกฎให้ธุรกิจในรูปแบบกิจการเจ้าของคนเดียวจะต้องลงทะเบียน และขอใบอนุญาตทำธุรกิจตามกฎหมาย ธุรกิจในรูปแบบนี้มักจะขอระดมทุนได้ยาก เพราะไม่สามารถแบ่งหุ้นบางส่วนออกมาขายได้ และธนาคารมักจะไม่ค่อยเชื่อมั่นในการให้กู้ยืมเงิน
ธุรกิจในรูปแบบนี้เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับธุรกิจที่ไม่มีความเสี่ยงมากนัก หรือเหมาะสำหรับนักธุรกิจที่อยากจะลองทดสอบสินค้าหรือบริการของตัวเองดูก่อนว่าจะมีโอกาสประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใด ก่อนที่จะมีธุรกิจในรูปแบบที่เป็นทางการมากกว่านี้
2. ห้างหุ้นส่วน (Partnership)
ห้างหุ้นส่วนคือธุรกิจที่มีเจ้าของตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ห้างหุ้นส่วนแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ตามขอบเขตการจำกัดความรับผิดชอบต่อภาระหนี้สินดังนี้
2.1 ห้างหุ้นส่วนจำกัด (Limited Partnerships หรือ LP)
ประกอบด้วยหุ้นส่วนที่ไม่จำกัดความรับผิดชอบต่อภาระหนี้สิน 1 คน และหุ้นส่วนที่จำกัดความรับผิดชอบต่อภาระหนี้สินอย่างน้อยอีก 1 คน ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วหุ้นส่วนที่จำกัดความรับผิดชอบต่อภาระหนี้สิน จะมีสิทธิในการดำเนินงานของธุรกิจอย่างจำกัด โดยข้อตกลงมักจะถูกเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรในสัญญาระหว่างหุ้นส่วน ทั้งนี้กำไรของธุรกิจจะถูกนำไปคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยที่หุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิดชอบจะต้องเสียภาษีเงินได้ในรูปแบบผู้รับจ้างงานอิสระ (self-employment tax)
2.2 ห้างหุ้นส่วนจำกัดความรับผิดชอบ (Limited Liability Partnerships หรือ LLP)
มีลักษณะคล้ายกันกับห้างหุ้นส่วนจำกัด แต่ผู้ที่เป็นหุ้นส่วนทุกคนจะมีความรับผิดชอบต่อภาระหนี้สินอย่างจำกัด ผู้ที่เป็นหุ้นส่วนจะทำสัญญาการทำธุรกิจร่วมกันซึ่งกำไรและหนี้สินที่เกิดจากการทำธุรกิจจะถูกแบ่งเท่า ๆ กันตามจำนวนหุ้น ผู้เป็นหุ้นส่วนไม่ต้องรับผิดชอบต่อภาระหนี้สินที่เกิดจากหุ้นส่วนรายอื่น ๆ
ห้างหุ้นส่วนเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับธุรกิจที่มีเจ้าของมากกว่า 1 คน หรือการรวมกลุ่มกันของบุคคลากรด้านวิชาชีพ (เช่นทนายความ นักบัญชี) หรือกลุ่มนักธุรกิจที่ต้องการจะลองทดสอบสินค้าหรือบริการของตัวเองก่อนที่จะมีก่อตั้งบริษัทที่เป็นทางการกว่านี้ ห้างหุ้นส่วนจะมีสัญญาข้อตกลงเป็นลายลักษณ์อักษรระหว่างผู้ถือหุ้น จึงทำให้หุ้นส่วนสามารถขอถอนหุ้น หรือสามารถเพิ่มหุ้นส่วนใหม่เข้ามาได้ตามที่ตกลงไว้ในสัญญา
3. บริษัทจำกัด (Limited Liability Companies หรือ LLC)
บริษัทจำกัด LLC คือรูปแบบบริษัทที่ได้รับการอนุญาตจากทางรัฐบาลท้องถิ่นทั่วสหรัฐฯ ทั้งนี้กฎหมายของแต่ละรัฐอาจจะแตกต่างกันออกไป ผู้ประกอบการควรจะศึกษากฎหมายของรัฐที่ต้องการจดทะเบียนบริษัท ทั้งนี้รัฐบาลท้องถิ่นในสหรัฐฯส่วนใหญ่ ไม่มีข้อกำหนดบังคับในเรื่องของจำนวนสมาชิกหรือจำนวนผู้ถือหุ้น ของบริษัทจำกัด ในหลายๆรัฐ บริษัทจำกัดอาจมีสมาชิกหรือผู้ถือหุ้นเพียงแค่คนเดียวก็ได้
บริษัทจำกัดนั้นช่วยคุ้มครองผู้ถือหุ้นในการจำกัดขอบเขตความรับผิดชอบภาระหนี้สิน โดยจะแยกความรับผิดชอบภาระหนี้สินของธุรกิจ ออกจากทรัพย์สินส่วนตัวของผู้ถือหุ้น เช่น หากบริษัทจำกัดล้มละลาย หรือถูกฟ้องร้อง ผู้ถือหุ้นของบริษัทจำกัดไม่ต้องนำบ้าน รถยนต์ หรือบัญชีเงินฝากธนาคารส่วนตัว มาจ่ายชำระหนี้
ผู้ถือหุ้นบริษัทจำกัด สามารถนำกำไรหรือขาดทุนจากการประกอบธุรกิจมาเสียภาษีเป็นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในรูปแบบผู้รับจ้างงานอิสระ (self-employment tax) โดยที่ไม่จำเป็นต้องเสียเป็นภาษีแบบบริษัท แต่หากผู้ถือหุ้นไม่ต้องการเสียภาษีในลักษณะนี้ จะต้องแสดงจุดประสงค์ในการเสียภาษีแบบบริษัทแทน
บริษัทจำกัดนั้นอาจมีอายุการดำเนินงานจำกัดตามกฎหมาย กฎหมายในบางรัฐกำหนดไว้ว่า หากมีผู้ถือหุ้นใหม่เข้ามาเพิ่ม หรือผู้ถือหุ้นเดิมขอถอนหุ้นออก บริษัทจำกัดนั้นจะต้องถูกยกเลิก และจะต้องมีการจัดตั้งบริษัทจำกัดใหม่ที่ประกอบด้วยสมาชิกผู้ถือหุ้นรายใหม่ ยกเว้นเสียแต่ว่าจะมีการกำหนดไว้ในสัญญาตั้งแต่ตอนจัดตั้งบริษัทแล้ว
บริษัทจำกัด เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับธรุกิจที่มีความเสี่ยงปานกลางไปจนถึงความเสี่ยงสูง ผู้ถือหุ้นจะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายในเรื่องการแยกความรับผิดชอบต่อภาระหนี้สินของธุรกิจออกจากทรัพย์สินและหนี้สินส่วนตัวของผู้ถือหุ้น นอกจากนี้ ผู้ถือหุ้นยังสามารถเลือกที่จะจ่ายภาษีเงินได้ ให้น้อยลงหากเลือกจากเป็นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแทนการจ่ายภาษีแบบบริษัท
4. บริษัท (Corporation) มีหลากหลายรูปแบบดังต่อไปนี้
4.1 Corporation หรือ C corp
รูปแบบบริษัทแบบ C corp จะแยกกำไร ภาษี รวมถึงภาระหนี้สินของบริษัทออกจากกันอย่างชัดเจนจากของผู้ถือหุ้น ซึ่งทำให้รูปแบบบริษัทแบบนี้สามารถให้ความคุ้มครองในเรื่องความรับผิดชอบต่อภาระหนี้สินกับผู้ถือหุ้นได้เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ดีการจัดตั้งรูปแบบบริษัทในแบบนี้มักมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าการจัดตั้งรูปแบบบริษัทในแบบอื่นๆ และบริษัทแบบ C corp จะมีความซับซ้อนกว่าในเรื่องของการทำบันทึกและรายงานบัญชีรายรับรายจ่าย มีกระบวนการดำเนินงาน (โครงสร้างองค์กร) ที่ชัดเจน และมีการจัดตั้งคณะกรรมการบริษัท (Board of directors) เพื่อทำหน้าที่ในการเลือกและแต่งตั้งผู้บริหารหรือเจ้าหน้าที่ระดับสูงของบริษัท
การจดทะเบียนธุรกิจแบบนี้จะเสียภาษีในรูปแบบของบริษัท (นิติบุคคล) และในกรณีที่มีการนำกำไรมาจ่ายเป็นเงินปันผล ก็จะทำให้ต้องมีการเสียภาษีสองต่อ นั้นคือบริษัทมีหน้าที่จ่ายภาษีจากกำไรสุทธิ และผู้ถือหุ้นจ่ายภาษีรายได้จากเงินปันผล
อายุการดำเนินงานของบริษัท C corp จะไม่ขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้น ดั้งนั้นหากมีผู้ถือหุ้นคนใดคนหนึ่งลาออกจากบริษัทหรือขายหุ้นของตน บริษัทที่จดทะเบียนในรูปแบบบริษัทแบบนี้จะยังสามารถทำการดำเนินธุรกิจได้โดยอย่างต่อเนื่อง ไม่ต้องยุติการดำเนินงาน
C corp ยังมีข้อดีในเรื่องของการระดมทุน เพราะบริษัทจะสามารถหาเงินทุนได้จากการขายหุ้นของบริษัท และบริษัทสามารถให้หุ้นแก่พนักงานเพื่อเป็นหนึ่งในผลตอบแทนได้อีกด้วย
C corp เหมาะกับธุรกิจที่มีความเสี่ยงปานกลางหรือความเสี่ยงสูง ธุรกิจที่ต้องการเงินทุน และธุรกิจที่วางแผนจะมีการขายหุ้นหรือเข้าสู่ตลาดหุ้นในอนาคต
4.2 S Corporation หรือ S corp
เป็นรูปแบบบริษัทแบบพิเศษที่ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยให้ธุรกิจไม่ต้องเสียภาษี 2 ต่ออย่างในแบบ C corp
บริษัทแบบ S corp นั้นไม่ต้องเสียภาษีระดับบริษัท ผลกำไรและขาดทุนจะส่งผ่านมายังผู้ถือหุ้นเพื่อนำมาเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
อย่างไรก็ดี กฎหมายของการเสียภาษีของบริษัทที่มีรูปแบบนี้มีความแตกต่างกันไปในแต่ละรัฐ รัฐบาลของหลายๆรัฐมีกฎหมายที่สอดคล้องกันกับของรัฐบาลกลาง (federal government) ซึ่งทำให้กำไรหรือขาดทุนของบริษัทถูกนำไปเสียเป็นภาษีรายได้บุคคลธรรมดาตามที่กล่าวข้างต้น ในขณะที่บางรัฐมีการคิดภาษีของบริษัทด้วยถ้าหากบริษัทมีกำไรเกินกว่าระดับที่กำหนดไว้ และในบางรัฐ อาจไม่มีกฎหมายสำหรับการจัดตั้งบริษัทในรูปแบบ S corp เลยก็ได้
บริษัทในรูปแบบ S crop ต้องยื่นเรื่องกับกรมสรรพากรของสหรัฐฯ (IRS) เพื่อขอรับข้อยกเว้นทางด้านภาษีนี้ ซึ่งเป็นกระบวนการที่นอกเหนือไปจากการจดทะเบียนนิติบุคคลเพื่อจัดตั้งบริษัทกับรัฐบาลระดับรัฐ
บริษัท S corp ไม่สามารถมีผู้ถือหุ้นเกิน 100 คน และผู้ถือหุ้นทุกคนจะต้องเป็นสัญชาติสหรัฐฯ (U.S. citizens) เท่านั้น บริษัทในรูปแบบนี้จะมีการดำเนินงาน การทำบัญชี การจัดตั้งคณะกรรมการบริษัทเหมือนกันกับบริษัทในรูปแบบ C corp
เช่นเดียวกันกับบริษัทแบบ C corp อายุการดำเนินงานของบริษัทแบบ S corp นั้นไม่ขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้น ถ้าผู้ถือหุ้นลาออกหรือขายหุ้น บริษัทแบบ S corp สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ต้องหยุดการดำเนินงาน
S corp เป็นรูปแบบที่เหมาะกับธุรกิจที่มีคุณสมบัติที่สามารถเป็น C corp แต่มีลักษณะที่ตรงตามเงื่อนไขที่จะขอจดทะเบียนเป็นแบบ S corp เพื่อสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษี
4.3 Benefit Corporation หรือ B corp
เป็นอีกหนึ่งรูปแบบบริษัทที่จัดตั้งขึ้นเพื่อมุ่งแสวงหาผลกำไร แต่แตกต่างไปจากบริษัทแบบ C corp ตรงที่จุดประสงค์ของการดำเนินการ ความรับผิดชอบ และความโปร่งใส ของธุรกิจ แต่ไม่มีความแตกต่างกับ C corp ในเรื่องของการจ่ายภาษี
นอกเหนือไปจากการแสวงหาผลกำไรแล้ว บริษัทแบบ B corp คือบริษัทที่มีจุดประสงค์ในการทำงานเพื่อสังคม บางรัฐกำหนดให้บริษัทแบบ B corp ส่งรายงานประจำปีที่แสดงถึงประโยชน์ หรือผลงานที่ได้ทำเพื่อสังคมด้วย
ในสหรัฐฯ มีธุรกิจที่ให้บริการในการออกใบรับรองว่าบริษัทนั้นเข้าข่ายเป็นลักษณะ B corp แต่ตามกฎหมายของรัฐที่ให้มีการจดทะเบียนบริษัทแบบ B corp นั้นไม่ได้กำหนดให้บริษัทที่ต้องการขอเป็นบริษัทแบบ B corp นั้นจะต้องมีการรับรองแต่อย่างใด
4.4 Close corporation
บริษัทในรูปแบบนี้มีลักษณะคล้ายกันกับแบบ B corp แต่มีโครงสร้างบริษัทต่างไปตรงที่บริษัทในลักษณะ Close corporation จะมีกฎระเบียบที่คล้ายกันกับบริษัทเล็กๆ และมีการลดความเป็นทางการหรือความยุ่งยากในการจัดตั้งแบบบริษัทใหญ่ๆลงไป
สำหรับ Close corporation กฎหมายของแต่ละรัฐนั้นมีความแตกต่างกัน แต่โดยทั่วไปคือห้ามมีการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ Close corporation สามารถดำเนินการได้โดยกลุ่มผู้ถือหุ้นเพียงไม่กี่คน โดยไม่จำเป็นต้องมีคณะกรรมการบริษัท (Board of directors)
4.5 องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร (Nonprofit corporation)
คือองค์กรที่ทำงานด้านการกุศุล ศาสนา การศึกษา วิทยาศาสตร์ หรือวรรณกรรม เนื่องจากองค์กรในลักษณะนี้มีจุดประสงค์หลักคือการทำประโยชน์ให้สังคม จึงได้รับการยกเว้นภาษี องค์กรไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ให้กับรัฐบาลกลางหรือรัฐบาลระดับรัฐ
องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร ต้องยื่นเรื่องกับกรมสรรพากรของสหรัฐฯ (IRS) เพื่อได้รับข้อยกเว้นทางด้านภาษีนี้ ซึ่งเป็นกระบวนการที่นอกเหนือไปจากการจดทะเบียนนิติบุคคลกับรัฐบาลระดับรัฐ
องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรจะต้องปฎิบัติตามกฎที่มีขึ้นเป็นพิเศษสำหรับการจัดการกับกำไรที่ได้องค์กรได้รับ เช่น องค์กรไม่สามารถแบ่งผลกำไรจ่ายเป็นเงินปันผลให้กับสมาชิกองค์กร หรือ ใช้สนับสนุนการหาเสียงของพรรคการเมืองได้
5. สหกรณ์ (Cooperative)
คือธุรกิจหรือหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นและดำเนินการโดยกลุ่มคนที่ใช้บริการของธุรกิจหรือหน่วยงานนั้น กล่าวคือกลุ่มคนเหล่านี้เป็นทั้งเจ้าของและผู้ใช้บริการจากสหกรณ์ กำไรที่ได้จากการดำเนินงานของสหกรณ์จะถูกจัดสรรและแบ่งให้สมาชิกของสหกรณ์
โดยทั่วไปแล้วสหกรณ์จะมีการจัดการเลือกตั้งคณะกรรมการเพื่อเป็นผู้บริหารงานในสหกรณ์ ในขณะที่สมาชิกคนอื่นๆจะมีสิทธิในการเลือกลงคะแนนเพื่อควบคุมทิศทางการทำงานของสหกรณ์ สมาชิกสามารถเป็นส่วนหนึ่งของสหกรณ์ได้ด้วยการซื้อหุ้นสหกรณ์ ทั้งนี้จำนวนหุ้นที่ถือไม่ได้มีผลต่อการออกเสียงได้มากหรือน้อยแต่อย่างใด
สรุปรูปแบบธุรกิจในสหรัฐฯ
ตารางด้านล่างแสดงลักษณะของแต่ละรูปแบบธุรกิจ อย่างไรก็ดีข้อกำหนดเรื่องจำนวนผู้ถือหุ้น ขอบเขตความรับผิดชอบต่อภาระหนี้สิน ภาษี รวมไปถึงเอกสารที่ใช้ในการขอจดทะเบียนอาจมีความแตกต่างกันไปในแต่ละรัฐ
* จำกัดขอบเขตความรับผิดชอบต่อภาระหนี้สิน หมายความว่าได้มีการแยกทรัพย์สินและหนิ้สินของบริษัทออกจากของส่วนตัวของผู้ถือหุ้น หากบริษัทล้มละลาย ผู้ถือหุ้นไม่มีภาระผูกพันที่ต้องชำระหนี้ของบริษัทด้วยทรัพย์สินส่วนตัวของตน
รูปแบบธุรกิจอื่นๆในสหรัฐ
นอกจากรูปแบบของธุรกิจที่พบเห็นได้โดยทั่วไปตามข้างต้นแล้ว ในสหรัฐฯ ยังมีรูปแบบธุรกิจประเภทอื่นๆอีก อาทิเช่น ทรัสต์ (Trust) การลงทุนร่วมกัน (Joint Ventures) การถือกรรมสิทธิ์รวม (Tenants in common) สมาคม (Association) เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีรูปแบบที่เรียกว่า สาขา (Branches) ซึ่งคือการที่บริษัทต่างประเทศสามารถเปิดสาขาในรัฐหนึ่งในสหรัฐฯ ได้โดยจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวกับบริษัท (Corporate Laws) ในระดับท้องถิ่น และจ่ายภาษีของรัฐนั้นๆ รวมถึงต้องขึ้นทะเบียนบริษัทต่างชาติ (Foreign Corporation) ด้วย
ที่มา
https://www.sba.gov/business-guide/launch-your-business/choose-business-structure
ชื่อเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับธุรกิจ และชื่อที่เหมาะสมนั้นควรที่จะสามารถแสดงความเป็นตัวตนของธุรกิจได้ ชื่อธุรกิจ (ชื่อบริษัท หรือชื่อร้านค้า) ไม่ควรขัดแย้งกับสินค้าหรือบริการที่ขาย หลังจากที่ผู้ประกอบการได้ชื่อธุรกิจแล้วควรลงทะเบียนกับหน่วยงานที่ถูกต้อง เพื่อป้องกันไม่ให้ธุรกิจรายอื่นใช้ชื่อเดียวกันได้
การจดทะเบียนชื่อมี 4 ประเภท แต่ละประเภทมีจุดประสงค์ที่แตกต่างกันออกไป และบางประเภทเป็นสิ่งที่กฎหมายกำหนดให้ธุรกิจจำเป็นต้องจดทะเบียนแบบนั้นๆ ทั้งนี้กฎระเบียบการจดชื่อธุรกิจนั้นขึ้นอยู่กับรูปแบบของธุรกิจที่จัดตั้งและรัฐที่ตั้งของธุรกิจด้วย
การจดทะเบียนชื่อ 4 ประเภทนี้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันตามกฎหมาย กฎหมายไม่ได้ระบุไว้ว่าธุรกิจจะต้องใช้ชื่อเดียวกันในการจดทะเบียนแต่ละประเภท อย่างไรก็ดี ธุรกิจขนาดเล็กมักพยายามที่จะใช้ชื่อเดียวกันในการจดทะเบียนชื่อแต่ละประเภทเพื่อให้ลูกค้าจำได้ง่ายขึ้น
1 ชื่อนิติบุคคล (Entity name)
ชื่อนิติบุคคล ถือเป็นชื่อตามกฎหมายของบริษัท (Legal entity name) การจดทะเบียนชื่อนิติบุคคล สามารถช่วยป้องกันการใช้ชื่อซ้ำกันได้ในรัฐนั้นๆ กฎระเบียบหรือข้อห้ามในการตั้งชื่อในแต่ละรัฐจะมีความแตกต่างกันออกไป ในหลายๆรัฐกฎหมายไม่อนุญาตให้ใช้ชื่อซ้ำกับธุรกิจอื่น และในบางรัฐ อาจมีการกำหนดว่าชื่อจะต้องแสดงถึงประเภทของธุรกิจ
กฎหมายของบางรัฐ หรือรูปแบบของธุรกิจบางประเภท มีการกำหนดว่าธุรกิจจำเป็นต้องทำการจดทะเบียนชื่อนิติบุคคล โดยส่วนใหญ่แล้ว หากธุรกิจจดทะเบียนในรูปแบบห้างหุ้นส่วน บริษัท หรือบริษัทจำกัด การจดทะเบียนบริษัทถือเป็นการจดทะเบียนชื่อบริษัทไปในตัว ในส่วนรูปแบบกิจการแบบเจ้าของคนเดียว ชื่อเจ้าของถือเป็นชื่อตามกฎหมายของธุรกิจไปโดยปริยาย ซึ่งหากเจ้าของธุรกิจต้องการดำเนินธุรกิจภายใต้ชื่ออื่น จะต้องจดทะเบียนชื่อทางการค้า หรือเรียกว่า “Doing Business As” (DBA หรือ d/b/a)
ผู้ประกอบการสามารถตรวจสอบกฎระเบียบและจดทะเบียนชื่อนิติบุคคลได้ที่รัฐบาลของรัฐ ที่ต้องการจัดตั้งธุรกิจ
2 เครื่องหมายการค้า (Trademark)
เครื่องหมายการค้า คือ ชื่อ เครื่องหมาย สัญลักษณ์ ตรา หรือคำ ที่ใช้บกบ่องถึงธุรกิจ สินค้า หรือบริการ การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าจะทำให้ธุรกิจได้รับการคุ้มครองสิทธิ ไม่ให้ผู้อื่นในธุรกิจเดียวกันหรือใกล้เคียงลอกเลียนแบบ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ได้ การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า สามารถช่วยป้องกันการใช้ซ้ำได้ในระดับประเทศ
ตัวอย่างเช่น ธุรกิจเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าได้ตั้งชื่อบริษัทว่า Springfield Electronic Accessories และหนึ่งในสินค้าที่ขายคืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีชื่อว่า Screen Cover 5000 การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของทั้งสองชื่อนี้ จะคุ้มครองไม่ให้ธุรกิจที่ผลิตและจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆในสหรัฐฯ ใช้ชื่อบริษัท และชื่อของสินค้า ที่คล้ายคลึงกันกับสองชื่อนี้ได้
ในสหรัฐฯ เครื่องหมายการค้า อยู่ภายใต้กฎหมายลิขสิทธิ์ ก่อนใช้เครื่องหมายการค้าใด ผู้ประกอบการควรตรวจค้นว่าเครื่องหมายการค้าที่ต้องการใช้มีความเหมือนหรือคล้ายกันกับของธุรกิจอื่นหรือไม่ โดยสามารถตรวจได้จากระบบฐานข้อมูลของสำนักงานสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าแห่งสหรัฐฯ (USPTO)
3 ชื่อทางการค้า (Doing Business As name หรือ DBA)
การจดทะเบียนชื่อประเภทนี้ ไม่ได้ให้การคุ้มครองตามกฎหมาย ในเรื่องของการใช้ชื่อซ้ำกัน หรือการลอกเลียนแบบชื่อ แต่กฎหมายในหลายๆรัฐและรูปแบบของธุรกิจบางประเภทนั้น บังคับให้ธุรกิจจำเป็นต้องจดชื่อในลักษณะนี้
แม้ว่าธุรกิจจะไม่ได้ถูกบังคับด้วยกฎหมายให้จดทะเบียนชื่อ DBA ชื่อ DBA นั้นทำให้ธุรกิจสามารถดำเนินงานได้โดยใช้ชื่อที่ต่างไปจากชื่อของเจ้าของกิจการ (กรณีเป็นกิจการเจ้าของคนเดียว) หรือชื่อนิติบุคคล นอกจากนี้ การมีชื่อ DBA และมีเลขประจำตัวนายจ้าง (EIN) ยังทำให้ผู้ประกอบการสามารถเปิดบัญชีธนาคารในนามธุรกิจได้อีกด้วย
ในหนึ่งรัฐ อาจมีมากกว่าหนึ่งธุรกิจที่ใช้ชื่อ DBA เหมือนกัน นั้นหมายความว่าผู้ประกอบการมีข้อจำกัดในการเลือกชื่อน้อยลง ผู้ประกอบการมีอิสระมากขึ้นในการเลือกใช้ชื่อเพื่อให้บ่งบอกถึงลักษณะของสินค้าหรือบริการได้ดีขึ้น เช่น เจ้าของกิจการใช้ชื่อนิติบุคคลของบริษัทว่า Springfield Electronic Accessories แต่ใช้ชื่อ TechBuddy เป็นชื่อ DBA ได้ แต่อย่างไรก็ตาม ในการตั้งชื่อ ผู้ประกอบการยังคงต้องปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยเรื่องของเครื่องหมายการค้า (trademark)
การจดทะเบียนชื่อประเภท DBA นี้สามารถทำได้ที่รัฐบาลของรัฐ เขต หรือเมืองที่ธุรกิจนั้นตั้งอยู่ กฎระเบียบการจดชื่อ DBA นั้นจะขึ้นอยู่กับกฎหมายระดับรัฐและระดับท้องถิ่น ผู้ประกอบการควรตรวจสอบกับหน่วยงานหรือเว็บไซต์ของรัฐบาลของรัฐและของท้องถิ่นก่อนเลือกชื่อและจดทะเบียนชื่อ
4 ชื่อโดเมน (Domain name)
ชื่อโดเมน หรือที่เรียกกันว่า ชื่อเว็บไซต์ หรือ URL การจดทะเบียนชื่อโดเมนนั้นเป็นการป้องกันไม่ให้มีการใช้ชื่อเว็บไซต์ซ้ำกัน
หากธุรกิจต้องการมีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง หรือเป็นธุรกิจที่ประกอบการบนโลกออนไลน์ ก็ควรเริ่มจากการขอจดทะเบียนชื่อโดเมน ซึ่งเมื่อจดทะเบียนแล้ว ธุรกิจอื่นก็จะไม่สามารถใช้ชื่อโดเมนนั้นได้อีก ชื่อโดเมนไม่จำเป็นต้องเป็นชื่อเดียวกันกับชื่อบริษัท (ชื่อนิติบุคคล) เครื่องหมายการค้า หรือชื่อ DBA
การจดทะเบียนชื่อโดเมนจะทำผ่านผู้ให้บริการจดทะเบียนชื่อโดเมน ผู้ประกอบการควรจดทะเบียนผ่านผู้ให้บริการที่น่าเชื่อถือ และอาจทำการปรึกษากับผู้ให้บริการเพื่อหาชื่อที่ปลอดภัย การจดทะเบียนชื่อโดเมนจะต้องมีการทำอย่างสม่ำเสมอ โดยส่วนใหญ่จะทำการจดทะเบียนกันเป็นรายปี
ที่มา
https://www.sba.gov/business-guide/launch-your-business/choose-your-business-name
การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจหรือนิติบุคคลนั้นเป็นการทำให้ธุรกิจมีตัวตนที่ถูกต้องตามกฎหมาย วิธีการจดทะเบียนและหน่วยงานที่รับจดทะเบียนนั้นแตกต่างกันไปตามแต่ละรูปแบบของธุรกิจและสถานที่ตั้งของธุรกิจ
ธุรกิจจำเป็นต้องจดทะเบียนนิติบุคคลหรือไม่
สิ่งที่เป็นตัวกำหนดว่าธุรกิจจำเป็นต้องจดทะเบียนหรือไม่นั้นคือ สถานที่ตั้งของธุรกิจและรูปแบบของธุรกิจ
สำหรับธุรกิจขนาดเล็ก โดยส่วนใหญ่การจดทะเบียนนั้นง่าย เพราะเพียงแค่ต้องทำการจดทะเบียนชื่อของธุรกิจเท่านั้น การจดทะเบียนชื่อสามารถทำได้ที่รัฐบาลของรัฐหรือของท้องถิ่นที่ธุรกิจตั้งอยู่
ในบางกรณี ผู้ประกอบการไม่จำเป็นต้องจดทะเบียนนิติบุคคล ตัวอย่างเช่น ธุรกิจเป็นแบบกิจการเจ้าของคนเดียวและใช้ชื่อเจ้าของกิจการเป็นชื่อของธุรกิจ ในกรณีแบบนี้กฎหมายไม่ได้บังคับให้ธุรกิจจำเป็นต้องจดทะเบียนนิติบุคคล แต่อย่างไรก็ตาม การที่ไม่จดทะเบียนนั้น อาจทำให้สูญเสียโอกาสในการรับสิทธิคุ้มครองการลอกเลียนแบบ หรือรับสิทธิทางกฎหมายอื่นๆ รวมทั้งผลประโยชน์ทางด้านภาษี
การจดทะเบียนในระดับรัฐบาลกลาง (federal agencies)
ธุรกิจส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องทำการจดทะเบียนใดๆกับหน่วยงานของรัฐบาลกลางของสหรัฐฯเพื่อให้มีตัวตนตามกฎหมายหรือคือเป็นนิติบุคคล เพียงแค่ธุรกิจมีเลขประจำผู้เสียภาษี(EIN) ที่ออกโดยกรมสรรมพากรของสหรัฐฯ (IRS) ก็จะถือว่ามีตัวตนในเชิงกฎหมาย ในบางกรณีธุรกิจขนาดเล็กอาจมีการจดทะเบียนหน่วยงานของรัฐบาลกลางเพื่อขอคุ้มครองเครื่องหมายการค้า หรือเพื่อขอรับสิทธิยกเว้นภาษี
ถ้าผู้ประกอบการต้องการป้องกันการเลียนแบบเครื่องหมายการค้า แบรนด์ หรือชื่อของสินค้า ผู้ประกอบการจะต้องยื่นเอกสารกับสำนักงานสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าแห่งสหรัฐฯ (USPTO)
สำหรับองค์กรไม่แสวงหากำไร ก็จะต้องยื่นเอกสารขอรับสิทธิการยกเว้นภาษีจากกรมสรรมพากรของสหรัฐฯ
ถ้าธุรกิจต้องการจัดตั้งบริษัทในรูปแบบ S corp ผู้ประกอบการจะต้องยื่นแบบฟอร์ม 2553 กับกรมสรรมพากรของสหรัฐฯ
การจดทะเบียนในระดับรัฐ (state agencies)
ถ้าธุรกิจมีรูปแบบเป็น บริษัทจำกัด (LLC) บริษัท (corporation) ห้างหุ้นส่วน (partnership) หรือ องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร ผู้ประกอบการต้องจดทะเบียนนิติบุคคลในรัฐที่ธุรกิจมีการประกอบการ
โดยทั่วไปแล้ว กฎหมายจะถือว่าธุรกิจมีการประกอบการหรือทำกิจกรรมอยู่ในรัฐนั้นก็ต่อเมื่อ
– สถานประกอบการตั้งอยู่ในรัฐนั้น
– มีการประชุมหรือนัดเจอลูกค้าที่อยู่ในรัฐนั้นบ่อยครั้ง (ไม่นับรวมการประชุมทางไกลหรือทางอินเทอร์เน็ต)
– รายได้ส่วนใหญ่ของบริษัทมาจากรัฐนั้น
– มีพนักงานของบริษัททำงานอยู่ในรัฐนั้น
หน่วยงานรับผิดชอบหลักในการจดทะเบียนในแต่ละรัฐแตกต่างกันออกไป ซึ่งในหลายๆรัฐ อยู่ในความรับผิดชอบของหน่วยงาน Secretary of State
บางรัฐมีการอนุญาตให้ธุรกิจทำการจดทะเบียนผ่านทางออนไลน์ได้ แต่บางรัฐกำหนดให้ธุรกิจจำเป็นต้องยื่นเอกสารด้วยตัวเองที่สำนักงานหรือทางไปรษณีย์
ตัวแทนรับจดทะเบียน (registered agent)
ถ้าธุรกิจมีรูปแบบเป็น บริษัทจำกัด (LLC) บริษัท (corporation) ห้างหุ้นส่วน (partnership) หรือ องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร ผู้ประกอบการอาจจะหาตัวแทนที่ช่วยดูแลเรื่องการจดทะเบียน
ตัวแทนที่รับจดทะเบียนทำหน้าที่รับและยื่นเอกสารต่างๆในนามของบริษัท ตัวแทนรับจดทะเบียนจะต้องตั้งอยู่ในรัฐที่บริษัทต้องการทำการจดทะเบียน
ผู้ประกอบการนิยมใช้ตัวแทนดำเนินการเพื่อทำการจดทะเบียน มากกว่าที่จะทำเรื่องด้วยตัวเอง
บริษัท ห้างหุ้นส่วน หรือองค์กรจากต่างรัฐ
ถ้าบริษัทจำกัด (LLC) บริษัท (corporation) ห้างหุ้นส่วน (partnership) หรือ องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร มีการดำเนินงานหรือทำธุรกิจในหลายรัฐ ผู้ประกอบการจะต้องจดทะเบียนนิติบุคคลเพื่อจัดตั้งบริษัทใน 1 รัฐ และยื่นเอกสารว่าเป็นบริษัท ห้างหุ้นส่วน หรือองค์กรที่มาจากต่างรัฐ (foreign) ในรัฐอื่นๆที่ประกอบการ
บริษัท ห้างหุ้นส่วน หรือองค์กรจะถือว่าเป็นนิติบุคคลในรัฐที่ทำการจดทะเบียน (domestic) ในขณะที่จะมีสถานะเป็นต่างรัฐ (foreign) ในรัฐอื่นๆที่ประกอบการ การยื่นเอกสารในรัฐอื่นๆที่ประกอบการนั้นเป็นการแจ้งให้รัฐนั้นๆทราบว่ามีบริษัท ห้างหุ้นส่วน หรือองค์กรจากต่างรัฐมาประกอบการอยู่
โดยทั่วไปแล้วบริษัท ห้างหุ้นส่วน หรือองค์กรที่มีสถานะมาจากต่างรัฐต้องเสียภาษีและค่าธรรมเนียมรายงานประจำปีให้กับทั้งรัฐที่ทำการจดทะเบียนนิติบุคคล และรัฐที่มีการยื่นแจ้งสถานะว่ามาจากต่างรัฐ
การยื่นขอสถานะเป็นบริษัท ห้างหุ้นส่วน หรือองคกรที่มาจากต่างรัฐ ผู้ประกอบการต้องยื่นหนังสือ Certificate of Authority ให้กับรัฐที่เข้าไปประกอบการ หลายๆรัฐยังขอหนังสือ Certificate of Good Standing จากรัฐที่ได้ทำการจดทะเบียนนิติบุคคล แต่ละรัฐมีการคิดค่าธรรมเนียมในการขอยื่นเอกสาร ซึ่งค่าธรรมเนียมแตกต่างกันไปตามแต่ละรัฐ และรูปแบบธุรกิจ
การยื่นเอกสารและค่าธรรมเนียม
โดยส่วนใหญ่แล้ว ค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียนนิติบุคคลจะน้อยกว่า $300 แต่ค่าธรรมเนียมจะเปลี่ยนแปลงไปขึ้นกับรัฐและรูปแบบของธุรกิจ
ข้อมูลและเอกสารที่มักจะต้องใช้ในการจดทะเบียนมีดังต่อไปนี้
– ชื่อธุรกิจ
– ที่อยู่ของสถานประกอบการ
– เอกสารแสดงความเป็นเจ้าของ รายชื่อผู้ถือหุ้น โครงสร้างการบริหารบริษัท และคณะกรรมการบริษัท
– ข้อมูลของตัวแทนรับจดทะเบียน
– จำนวนหุ้น และมูลค่าของหุ้น (ถ้าเป็นบริษัท Corporation)
เอกสารที่จำเป็นต้องใช้อาจจะแตกต่างกันไปตามกฎของแต่ละรัฐและรูปแบบธุรกิจ
การจดทะเบียนในระดับรัฐบาลของรัฐนอกจากที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ในบางรัฐยังมีกฎระเบียบบังคับให้ธุรกิจต้องจดทะเบียนชื่อทางการค้าหรือ DBA อีกด้วยหากธุรกิจมีการใช้ชื่อดังกล่าว
การจดทะเบียนในระดับรัฐบาลท้องถิ่น (LOCAL AGENCIES)
โดยปกติแล้ว ธุรกิจไม่จำเป็นต้องจดทะเบียนใดๆกับหน่วยงานรัฐบาลของเทศมณฑล(County) หรือเมือง(City) เพื่อจัดตั้งบริษัท
ทั้งนี้ผู้ประกอบการควรตรวจสอบกับรัฐบาลท้องถิ่นที่จะจัดตั้งธุรกิจให้แน่ชัด เพราะรัฐบาลท้องถิ่นบางที่อาจมีการกำหนดกฎระเบียบในเรื่องของการจดทะเบียนชื่อทางการค้า(DBA) และการขอใบอนุญาตทำธุรกิจ
ข้อกำหนดอื่นๆ
บางรัฐกำหนดให้ผู้ประกอบการต้องยื่นรายงานทางการเงินของธุรกิจทันทีหลังจากที่ทำการจดทะเบียน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับรูปแบบของธุรกิจที่จดทะเบียนด้วย
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการอาจต้องยื่นเอกสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเสียภาษีในระดับรัฐ ซึ่งเป็นการยื่นเอกสารเบื้องต้นสำหรับการเสียภาษีที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ส่วนใหญ่รัฐมักกำหนดให้ยื่นเอกสารนี้ภายได้ 30-90 วันหลังจากทำการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคลกับรัฐ
ที่มา
https://www.sba.gov/business-guide/launch-your-business/register-your-business
เลขประจำตัวนายจ้าง (Employee Identification Number หรือ EIN) คือเลขประจำตัวผู้เสียภาษีที่ใช้สำหรับทั้งระดับรัฐและระดับรัฐบาลกลาง เลขประจำตัวนายจ้างเป็นเลขหมาย 9 หลัก ทำหน้าที่คล้ายกันกับเลขประจำตัวประกันสังคม (SSN) แต่ไว้ใช้สำหรับธุรกิจ
การขอเลขประจำตัวผู้เสียภาษีของระดับรัฐบาลกลาง
เลขประจำตัวนายจ้าง (EIN) ก็คือเลขประจำตัวผู้เสียภาษีที่ออกให้โดยหน่วยงานของรัฐบาลกลาง (Federal Tax ID) เลข EIN นั้นใช้ระบุตัวตนของธุรกิจ จ้างพนักงาน จ่ายภาษีแก่รัฐบาลกลาง เปิดบัญชีธนาคาร และขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจ
การขอเลข EIN นั้นไม่มีค่าใช้จ่าย ผู้ประกอบการควรดำเนินการขอเลข EIN จากกรมสรรพากรสหรัฐฯ (Internal Revenue Service หรือ IRS) ทันทีหลังจากที่จดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจ (จดทะเบียนนิติบุคคล) แล้ว
ธุรกิจจำเป็นต้องมีเลข EIN หากธุรกิจนั้นทำอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้
- มีการจ้างพนักงาน
- มีเจ้าของมากกว่า 1 คน หรือมีหุ้นส่วน
- ยื่นขอคืนภาษีที่เกี่ยวกับการจ้างงาน ภาษีสรรพสามิต เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาสูบ และอาวุธปืน
- มีการหักภาษี ณ ที่จ่ายของรายได้อื่นๆที่ไม่ใช่ค่าจ้าง ที่บริษัทจ่ายให้กับคนต่างด้าว (non-resident alien)
- มีกองทุนผู้เกษียณอายุ (Keogh Plan)
- มีการร่วมงานกับทรัสต์ (Trust) กองทุน IRA องค์กรทางธุรกิจที่ได้รับการยกเว้นภาษี อสังหาริมทรัพย์ โครงการที่ลงทุนเกี่ยวกับการให้จำนองอสังหาริมทรัพย์ องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร สหกรณ์การเกษตร (รายละเอียดเพิ่มเติมดูได้ ที่นี่)
ผู้ประกอบการสามารถสมัครขอเลข EIN จากหน่วยงาน IRS ได้ทั้งทาง ออนไลน์ และ ช่องทางอื่น
ธุรกิจอาจต้องทำการขอเปลี่ยนเลข EIN หรือขอเลข EIN ใหม่หากมีการเปลี่ยนแปลงอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้
- เปลี่ยนชื่อธุรกิจ
- เปลี่ยนที่อยู่ของสถานประกอบการ
- เปลี่ยนเจ้าของ หรือหุ้นส่วน
- เปลี่ยนผู้บริหาร
- เปลี่ยนสถานะการจ่ายภาษี
ทั้งนี้ธุรกิจจำเป็นต้องเปลี่ยนหรือขอเลข EIN ใหม่หรือไม่นั้นขึ้นกับรูปแบบของธุรกิจที่จัดตั้งด้วย ผู้ประกอบการสามารถตรวจสอบเพิ่มเติมได้ที่นี่
การขอหมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษีระดับรัฐ
ธุรกิจจำเป็นต้องมีเลขประจำตัวผู้เสียภาษีระดับรัฐ (State tax ID) หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับว่าธุรกิจต้องเสียภาษีให้กับรัฐบาลระดับรัฐหรือไม่
ในบางครั้งผู้ประกอบการของธุรกิจรูปแบบกิจการเจ้าของคนเดียว อาจใช้เลขประจำตัวผู้เสียภาษีระดับรัฐ ทำธุรกรรมอื่นๆของกิจการแทนการใช้เลขประกันสังคมของตน เพื่อป้องกันการโจรกรรมข้อมูลส่วนบุคคล
ข้อบังคับที่เกี่ยวกับการเสียภาษีมีความแตกต่างกันออกไปในแต่ละรัฐ รวมไปถึงขั้นตอนในการขอเลขประจำตัวผู้เสียภาษีระดับรัฐที่แม้ว่าจะคล้ายคลึงกับการขอเลขประจำตัวนายจ้าง แต่ก็อาจแตกต่างกันไปตามแต่ละรัฐ ผู้ประกอบการควรหาข้อมูลจากรัฐที่จัดตั้งธุรกิจ
ภาษีรายได้ของธุรกิจและภาษีการจ้างงาน เป็น 2 รายการหลักที่กฎหมายของหลายๆรัฐ กำหนดว่าธุรกิจขนาดเล็กต้องจ่ายให้แก่รัฐบาลระดับรัฐ
ภาษีรายได้ของธุรกิจและภาษีจากการจ้างงานที่เรียกเก็บในระดับรัฐ
กฎหมายของ 7 รัฐ (ไวโอมิง วอชิงตัน เทกซัส เซาท์ดาโคตา เนวาดา ฟลอริดา และอะแลสกา) นั้นไม่มีการเก็บภาษีรายได้ และกฎหมายของอีก 2 รัฐ (เทนเนสซี และนิวแฮมป์เชียร์) เก็บภาษีรายได้เฉพาะรายได้ที่มาจากเงินปันผลและดอกเบี้ยเท่านั้น สำหรับรัฐที่มีการเก็บภาษีรายได้ อัตราภาษีแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับรูปแบบของธุรกิจที่จัดตั้ง
ในส่วนของภาษีที่เรียกเก็บสำหรับเงินที่ใช้ทำประกันให้แก่พนักงานรวมถึงค่าสินใหม่ทดแทนให้แก่พนักงานนั้น มีความแตกต่างกันไปตามแต่ละรัฐ
ผู้ประกอบการควรทำความเข้าใจกฎระเบียบและคิดคำนวณภาษีเหล่านี้ไปในค่าใช้จ่ายเริ่มต้นในการจัดตั้งธุรกิจ รวมถึงใช้ตัดสินใจเวลาที่เลือกรูปแบบของธุรกิจด้วย
ที่มา
https://www.sba.gov/business-guide/launch-your-business/get-federal-state-tax-id-numbers
โดยส่วนใหญ่แล้วธุรกิจขนาดเล็กต้องขอใบอนุญาตจากทั้งจากหน่วยงานของรัฐบาลกลางและรัฐบาลของรัฐ ซึ่งกฎระเบียบและค่าธรรมเนียมนั้นขึ้นอยู่กับประเภทธุรกิจ และสถานที่ตั้ง
ใบอนุญาตประกอบธุรกิจออกโดยหน่วยงานของรัฐบาลกลาง
ธุรกิจบางประเภทมีกฎระเบียบ ข้อบังคับที่ออกโดยหน่วยงานของรัฐบาลกลาง ซึ่งหากผู้ประกอบการประกอบธุรกิจประเภทเหล่านั้น จะต้องทำการขอใบอนุญาตจากหน่วยงานของรัฐบาลกลาง
ตารางด้านล่างนี้แสดงถึงประเภทธุรกิจที่ผู้ประกอบการจำเป็นต้องขอใบอนุญาตจากหน่วยงานของรัฐบาลกลาง
PICTURE
ประเภทธุรกิจ | คำอธิบาย | หน่วยงานที่ออกใบอนุญาต |
---|---|---|
การเกษตร | มีการนำเข้าหรือมีการเคลื่อนย้ายสัตว์ เนื้อสัตว์ สินค้าชีวภาพ เทคโนโลยีชีวภาพ พืชผัก ต้นไม้ ระหว่างรัฐ | U.S. Department of Agriculture |
เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ | ผลิต ขายส่ง ขายปลีก นำเข้า เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ | Alcohol and Tobacco Tax and Trade Bureau |
การบิน | ธุรกิจที่เกี่ยวข้องการเครื่องบิน ขนส่งสินค้าหรือผู้โดยสารโดยใช้เครื่องบิน บำรุงรักษาเครื่องบิน | Federal Aviation Administration |
อาวุธปืน กระสุนปืน วัตถุระเบิด | ผลิต ค้าขาย นำเข้า อาวุธปืน กระสุนปืน หรือวัตถุระเบิด | Bureau of Alcohol, Tobacco, Firearms and Explosives |
สัตว์ป่า สัตว์น้ำ | ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสัตว์ป่า สัตว์ใกล้สูญพันธุ์ สัตว์น้ำต่างๆ (ที่ไม่ใช่การประมงเชิงพาณิชย์)การนำเข้าหรือส่งออก รวมถึงสินค้าที่ผลิตมาจากสัตว์เหล่านี้ | U.S. Fish and Wildlife Service |
การประมงเชิงพาณิชย์ | ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการประมงเชิงพาณิชย์ | National Oceanic and Atmospheric Administration Fisheries Service |
การขนส่งทางทะเล ทางเรือเดินสมุทร | ธุรกิจที่เกี่ยวกับการเดินทางหรือขนส่งทางเรือเดินสมุทร | Federal Maritime Commission |
เหมืองแร่ ขุดเจาะก๊าซธรรมชาติหรือน้ำมัน | ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการขุดเจาะก๊าซธรรมชาติ น้ำมัน หรือเหมืองแร่ | Bureau of Safety and Environmental Enforcement |
พลังงานนิวเคลียร์ | ผลิตพลังงานนิวเคลียร์ หรือเกี่ยวข้องกับการแจกจ่ายและกำจัดพลังงานนิวเคลียร์ | U.S. Nuclear Regulatory Commission |
สื่อสารมวลชนทางวิทยุ โทรทัศน์ | ธุรกิจที่สื่อสารข้อมูลผ่านวิทยุ โทรทัศน์ เคเบิ้ล ดาวเทียม | Federal Communications Commission |
การขนส่ง | ธุรกิจที่ใช้ยานพาหนะที่มีขนาดใหญ่หรือมีน้ำหนักมาก ใบอนุญาตการใช้ ยานพาหนะขนาดใหญ่ หรือน้ำหนักมากนั้นจะออกโดยรัฐบาลระดับรัฐ แต่สำนักงานขนส่งแห่งชาติของสหรัฐฯ (U.S. Department of Transportation) สามารถแนะนำหน่วยงานระดับรัฐที่ถูกต้อง เหมาะสมให้ได้ | U.S. Department of Transportation |
ใบอนุญาตประกอบธุรกิจออกโดยหน่วยงานระดับรัฐและระดับท้องถิ่น
ใบอนุญาตที่ออกโดยหน่วยงานรัฐบาลระดับรัฐและระดับท้องถิ่นที่ต้องใช้นั้น ขึ้นอยู่กับประเภทธุรกิจและสถานที่ประกอบการ โดยทั่วไปแล้วรัฐบาลระดับรัฐมีกฎเรื่องใบอนุญาตที่กว้างและครอบคลุมประเภทของธุรกิจมากกว่าที่รัฐบาลกลางกำหนด ตัวอย่างประเภทธุรกิจที่ต้องขอใบอนุญาตจากหน่วยงานระดับรัฐคือ ธุรกิจที่เป็นการประมูลสินค้า ก่อสร้าง ซักแห้ง การเกษตร ช่างประปา ร้านอาหาร ร้านค้า หรือเครื่องขายของแบบยอดเหรียญ
ใบอนุญาตประกอบธุรกิจบางอย่างอาจมีการกำหนดวันหมดอายุ ผู้ประกอบการต้องตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอเพื่อขอต่ออายุใบอนุญาต ซึ่งการขอต่ออายุมักจะทำได้ง่ายกว่าขอใบอนุญาตใบใหม่
กฎระเบียบของแต่ละประเภทธุรกิจมีความแตกต่างกันไปตามกฎของรัฐและของท้องถิ่น ดังนั้นผู้ประกอบการต้องตรวจสอบข้อมูลจากรัฐ(State) เทศมณฑล(County) และเมือง(City) ที่ต้องการประกอบการ
ใบอนุญาตอื่นๆ
นอกจากใบอนุญาตประกอบธุรกิจสำหรับแต่ละประเภทของธุรกิจแล้ว ธุรกิจอาจจะต้องขอใบอนุญาตหรือใบรับรองอื่นๆ เช่น การขออนุญาตดำเนินธุรกิจในพื้นที่ (Zoning Permit) ใบอนุญาตด้านความปลอดภัยอาคาร (Fire Department Permit) ใบอนุญาตจากกระทรวงสาธารณสุขสหรัฐฯ (Health Department Permit) ใบรับรองการจ่ายภาษีการค้า (Sales and Use Tax Certificate) เป็นต้น
ที่มา
https://www.sba.gov/business-guide/launch-your-business/apply-licenses-permits
โดยปกติแล้วบัญชีธนาคารสำหรับการทำธุรกิจจะประกอบไปด้วย บัญชีกระแสรายวัน (checking account) บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ (saving account) และบัญชีสำหรับบริการรับบัตรเครดิตหรือเดบิต (merchant service account)
ผู้ประกอบการสามารถเปิดบัญชีในนามของธุรกิจได้หลังจากที่ได้รับเลขประจำตัวนายจ้าง (Employee Identification Number หรือ EIN) แล้ว
การเปิดบัญชีธนาคารในนามของธุรกิจมีประโยชน์หลายอย่างที่แตกต่างไปจากบัญชีธนาคารของบุคคลธรรมดา เช่น
- บัญชีธนาคารในนามธุรกิจจะช่วยคุ้มครองเจ้าของธุรกิจในการจำกัดขอบเขตความรับผิดชอบภาระหนี้สิน เพราะจะมีการแบ่งแยกเงินทุนของธุรกิจออกจากเงินทุนส่วนตัวของเจ้าของธุรกิจ นอกจากนี้บัญชีสำหรับบริการรับบัตรเครดิตหรือเดบิต (merchant service account) ยังช่วยคุ้มครองเรื่องการชำระเงินของลูกค้า และทำให้แน่ใจว่าข้อมูลส่วนตัวของลูกค้านั้นถูกเก็บเป็นความลับ
- ลูกค้าสามารถชำระเงินให้กับธุรกิจผ่านทางบัตรเครดิตและเช็ค โดยไม่ต้องผ่านบัญชีส่วนตัวของเจ้าของธุรกิจ ทั้งนี้เจ้าของธุรกิจยังสามารถทำการอนุญาตให้สิทธิ์แก่ลูกจ้างหรือพนักงานในการทำธุรกรรมกับธนาคารแทนได้อีกด้วย
- บัญชีธนาคารในนามธุรกิจมักจะมาพร้อมกับวงเงินสินเชื่อ (line of credit) ซึ่งทำให้เจ้าของธุรกิจมีความพร้อม หากจำเป็นต้องกู้ยืมฉุกเฉินมาใช้อย่างเร่งด่วน
- บัญชีบัตรเครดิตของธุรกิจนั้น ทำให้ธุรกิจมีอำนาจซื้อที่มากขึ้น ธุรกิจจะสามารถซื้อของได้มากขึ้นเพื่อนำมาใช้ในการเริ่มต้นเปิดกิจการ และยังช่วยสร้างประวัติข้อมูลเครดิต (credit history) ให้กับธุรกิจเพื่อเป็นประโยชน์ต่อการขอสินเชื่อในอนาคตอีกด้วย
การหาธนาคาร และสิทธิประโยชน์
เพื่อความสะดวกและรวดเร็ว เจ้าของธุรกิจอาจเลือกที่จะเปิดบัญชีกับธนาคารที่เจ้าของธุรกิจนั้นเป็นลูกค้าประจำหรือมีบัญชีส่วนตัวอยู่แล้ว แต่อย่างไรก็ดี ค่าธรรมเนียม ตัวเลือกเสริม หรือสิทธิประโยชน์อื่นๆ มักจะมีความแตกต่างกันในแต่ละธนาคาร ดังนั้นเจ้าของธุรกิจควรจะทำการศึกษาหาข้อมูลจากหลากหลายธนาคาร เพื่อเปรียบเทียบหาตัวเลือกที่ประหยัดค่าใช้จ่ายมากที่สุด หรือให้ผลประโยชน์มากที่ดีสุด
ในกรณีที่เป็นนักลงทุนจากประเทศไทยและไม่เคยมีบัญชีที่สหรัฐอเมริกามาก่อน ควรเลือกเปิดบัญชีกับธนาคารที่น่าเชื่อถือ มีชื่อเสียง มีหลายสาขา และสามารถทำธุรกรรมออนไลน์ได้
การเลือกเปิดบัญชีออมทรัพย์และบัญชีกระแสรายวัน ควรจะคำนึงถึงเรื่องต่อไปนี้
- สิทธิประโยชน์หรือโบนัสในการเปิดบัญชี
- อัตราดอกเบี้ยสำหรับบัญชีออมทรัพย์และบัญชีกระแสรายวัน
- อัตราดอกเบี้ยการกู้ยืมเงิน จากวงเงินสินเชื่อ (line of credit)
- ค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรม (transaction fees)
- ค่าธรรมเนียมในการปิดบัญชีเร็วกว่าที่กำหนด
- ค่ารักษาบัญชี กรณีมีเงินเหลือน้อยกว่าขั้นต่ำที่กำหนด
และการเลือกเปิดบัญชีสำหรับบริการรับบัตรเครดิตหรือเดบิต ควรจะคำนึงถึงเรื่องต่อไปนี้
- อัตราค่าธรรมเนียมการรับบัตรเครดิต (Merchant Discount Rate) โดยมักจะเรียกเก็บเป็นร้อยละของยอดซื้อแต่ละรายการที่ถูกชำระด้วยบัตรเครดิต
- ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม ซึ่งคือค่าธรรมเนียมที่ต้องจ่ายสำหรับทุกธุรกรรมที่ธุรกิจรับเงินผ่านบัตรเครดิต
- ค่าธรรมเนียมในการตรวจสอบความถูกต้องของที่อยู่ของผู้ถือบัตรเครดิต (address verification service – AVS)
- ค่าธรรมเนียมที่ธุรกิจทำการตกลงจำนวนเงินได้รับผ่านบัตรเครดิตต่อวัน (ACH daily batch fee)
- ค่าธรรมเนียมหากธุรกิจไม่ได้มียอดการรับชำระผ่านบัตรเครดิตตามจำนวนขั้นต่ำที่ตกลงไว้ต่อเดือน
นอกจากนี้ในปัจจุบันยังมีบริษัทที่จัดการเรื่องการชำระเงินโดยเฉพาะ หรือที่เรียกว่า Payment processing company ยังได้รับความนิยมมากขึ้น โดยบริษัทเหล่านี้มักจะมีข้อเสนอพิเศษอื่นๆเพิ่มเติม เช่น มีอุปกรณ์ติดที่โทรศพท์มือถือเพื่อรองรับการจ่ายเงินผ่านบัตร ซึ่งค่าธรรมเนียมในการใช้บริการจากบริษัทเหล่านี้จะคล้ายคลึงกันกับการเปิดบัญชีบริการรับบัตรเครดิตหรือเดบิต (merchant service account) กับธนาคาร
เอกสารที่ใช้ในการเปิดบัญชี
โดยทั่วไปแล้ว เอกสารที่ใช้ในการเปิดบัญชีประกอบด้วย
- เลขประจำตัวนายจ้าง (Employee Identification Number หรือ EIN) หรือเลขประกันสังคมของเจ้าของกิจการหากเป็นการจดทะเบียนเป็นแบบกิจการเจ้าของคนเดียว (Sole proprietorship)
- เอกสารการจัดตั้งธุรกิจ
- ใบอนุญาตประกอบธุรกิจ (Business License)
- ข้อตกลงหรือสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้น (Ownership Agreements)
ที่มา
https://www.sba.gov/business-guide/launch-your-business/open-business-bank-account
การทำประกันภัยสำหรับธุรกิจเป็นการป้องกันไม่ให้ธุรกิจจำต้องเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมาก ที่อาจเกิดขึ้นได้โดยไม่คาดคิด
การคุ้มครองที่ธุรกิจได้รับจากการจดทะเบียนเป็นธุรกิจบางรูปแบบ เช่น รูปแบบ LLC หรือ Corporation นั้น เป็นการจำกัดความรับผิดชอบต่อภาระหนี้สิน ที่ผู้ประกอบการหรือผู้ถือหุ้นไม่ต้องใช้ทรัพย์สินส่วนตัวมาชำระหนี้ของธุรกิจ แต่การคุ้มครองก็ค่อนข้างที่จะจำกัด
การทำประกันภัยจะช่วยคุ้มครองธุรกิจได้ดียิ่งขึ้น เพราะสามารถคุ้มครองทั้งทรัพย์สินส่วนตัวของผู้ประกอบการหรือผู้ถือหุ้น และทรัพย์สินของธุรกิจ จากค่าใช้จ่ายที่เกิดจากอุบัติเหตุ ภัยพิบัติ หรือการฟ้องร้องค่าเสียหาย ที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้คาดคิด
ในบางกรณี กฎหมายมีการบังคับให้ธุรกิจต้องทำประกัน เช่น กฎหมายของรัฐบาลกลางกำหนดไว้ว่า ทุกธุรกิจที่มีการจ้างพนักงานจะต้องทำประกันชดเชยแรงงาน (compensation insurance) ประกันการว่างงาน (unemployment insurance) และประกันทุพพลภาพ (disability insurance) ในส่วนของรัฐบาลระดับรัฐ กฎระเบียบในการทำประกันมีความแตกต่างกันออกไปในแต่ละรัฐ ซึ่งผู้ประกอบการจะต้องศึกษาข้อมูลของแต่ละรัฐนั้นๆ ด้วย
ประกันภัยสำหรับธุรกิจ 6 ประเภทที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย
หลังจากที่ซื้อประกันตามที่กฎหมายกำหนดแล้ว ผู้ประกอบการสามารถซื้อประกันเพิ่มเติมเพื่อป้องกันความเสี่ยงอื่นๆที่อาจจะเกิดขึ้น โดยทั่วไปแล้วผู้ประกอบการควรซื้อประกันไว้สำหรับสิ่งที่คิดว่าจะไม่สามารถชำระเงินจ่ายได้เองในอนาคต
ประกันภัยสำหรับธุรกิจที่เป็นที่นิยม แบ่งเป็น 6 ประเภท ดังนี้
4 ขั้นตอนในการซื้อประกันภัยสำหรับธุรกิจ
1. ประเมินความเสี่ยงของธุรกิจ
ผู้ประกอบการควรพิจารณาดูว่าธุรกิจอาจเผชิญอุบัติเหตุ ภัยธรรมชาติ หรือการฟ้องร้องใดได้บ้างที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ธุรกิจ ผู้ประกอบการอาจศึกษาวิธีการเลือกประกันภัยหรือขอคำแนะนำเพิ่มเติมจาก National Federation of Independent Businesses (NFIB)
2. หาตัวแทนขายประกันที่มีชื่อเสียงและน่าเชื่อถือ
ตัวแทนขายประกันอาจสามารถช่วยหากรรมธรรม์ที่เหมาะสมกับความต้องการของธุรกิจได้ เนื่องจากตัวแทนขายประกันจะได้รับค่าตอบแทนจากบริษัทประกันจากการขายประกัน ดังนั้นผู้ประกอบการควรหาตัวแทนที่ได้รับใบอนุญาตและใส่ใจในธุรกิจของผู้ประกอบการ
3. เปรียบเทียบจากหลายๆบริษัท
ผู้ประกอบการควรทำการเปรียบเทียบราคา เงื่อนไข และผลประโยชน์จากหลายๆบริษัท นอกจากเปรียบเทียบจากหลายๆบริษัทแล้ว ผู้ประกอบการควรทำการเทียบราคาจากตัวแทนหลายๆเจ้าด้วยเช่นกัน
4. ประเมินแผนประกันทุกปี
เมื่อธุรกิจเติบโต ความรับผิดชอบต่างๆก็สูงขึ้นด้วย ถ้าธุรกิจมีการซื้อหรือเปลี่ยนเครื่องมือ อุปกรณ์ในการทำงานใหม่ หรือขยายกำลังการผลิต ผู้ประกอบการควรติดต่อตัวแทนประกันเพื่อทำแผนประกันใหม่ให้ครอบคลุมถึงสิ่งที่ธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงด้วย
ที่มา
https://www.sba.gov/business-guide/launch-your-business/get-business-insurance