เจาะลึกการลงทุนทำธุรกิจร้านอาหารไทยในสหรัฐฯ
คงปฏิเสธไม่ได้ว่าธุรกิจร้านอาหารไทยเป็นหนึ่งธุรกิจที่คนไทยนิยมมาลงทุนกันเป็นอันดับต้นๆ ในอเมริกา อาหารไทยถือได้ว่าเป็นหนึ่งในอาหารยอดนิยมในอเมริกาทำให้ร้านอาหารไทยหลายต่อหลายแห่งทั่วอเมริกาต่างประสบความสำเร็จ แต่หากว่ามีร้านอาหารไทยในอมเริกาจำนวนไม่น้อยที่ต้องปิดตัวลงเพราะหลายๆ ปัจจัย หนึ่งในนั้นคือการขาดประสบการณ์การบริหารและขาดความรู้ วันนี้ทางศูนย์ข้อมูลธุรกิจไทยในสหรัฐฯ จึงอยากนำขั้นตอนการเริ่มต้นลงทุนทำธุรกิจร้านอาหารไทยในสหรัฐฯ มาให้ความรู้แก่ทุกท่าน โดยบทความนี้เขียนขึ้นโดยคุณแหวนเพ็ชร วังคีรี โรลล์ ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต ของสหรัฐอเมริกา และเจ้าของบริษัท Thai USA Accounting
ภาพรวมในการเริ่มดำเนินธุรกิจครั้งแรกจะคล้ายกัน แต่จะแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับประเภทธุรกิจ บทความนี้ขอเข้าไปลึกนิดหนึ่งในกรณีที่เราต้องการเป็นเจ้าของกิจการร้านอาหารไทย โดยเฉพาะนักลงทุนไทยที่ต้องการมาลงทุนในอเมริกาหรือบุคคลที่สนใจทั่วไปที่สนใจจะเปิดกิจการเป็นของตัวเอง
การจะเปิดร้านอาหารนั้น ถ้าเคยมีประสบการณ์ในการบริหารร้านอาหาร การทำงานในร้านอาหาร ในประเทศนี้จะช่วยให้การดำเนินการง่ายขึ้นคะ อย่างน้อยคุณก็ได้สัมผัส ถึงเบื้องหน้าและเบื้องหลังมาก่อน
ถ้าไม่มีประสบการณ์อะไรเลยสักนิด เคยทำแต่ธุรกิจประเภทอื่น ๆ มาแล้วอยากเปิดร้านอาหารควรทำยังไง
1.) Choosing State, รัฐไหนที่คุณจะเปิดร้านอาหาร
ข้อนี้สำคัญคะ เพราะคุณควรจดทะเบียนในรัฐที่คุณจะเปิดร้าน ถ้าเป็นไปได้ จดทะเบียนที่ร้านที่คุณจะเปิดคะ แต่ไม่จำเป็นคะ คุณสามารถใช้ที่อยู่ที่ไหนก็ได้ในการจดทะเบียนบริษัท เพื่อประกอบกิจการ. คุณสามารถจดทะเบียนต่างรัฐได้คะ แต่ยังไงคุณต้องไปลงทะเบียนเพื่อทำธุรกิจในรัฐที่คุณจะทำการเปิดกิจการอยู่ดี ทำให้งานเพิ่มมากขึ้นคะ.
2.) Type of Business Entity, เลือกรูปแบบของกิจการ
ขอแนะนำ รูปแบบที่นิยม ในการจดทะเบียน ซึ่งมี สองแบบค่ะ เลือกให้เหมาะสมกับธุรกิจร้านอาหาร ซึ่งทั้งสองแบบมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันออกไปค่ะ กรณีคุณเป็นนักลงทุนจากประเทศไทย คุณสามารถเลือกได้เช่นกัน เพราะการจัดตั้งบริษัทแบบนี้ ทางรัฐบาลท้องถิ่นอนุญาตให้ต่างชาติ จดทะเบียนได้คะ
2.1) Limited Liability Company (LLC)
ถ้าคุณเป็นซิติเซ่น หรือกรีนการ์ด ไม่มีการร่วมลงทุนกับคนต่างประเทศ เช่นคนไทยที่ถือวีซ่าประเภทอื่นๆ คุณจด แบบนี้จะง่ายค่ะ แล้วเรียกที่จะเสียภาษีแบบ Small Corporation (S-Corp)ได้ค่ะ
2.2) Corporation (Inc., Corp. Incorporated., etc., ขึ้นอยู่กับเสตท)
ถ้าคุณเป็นนักลงทุนจากประเทศไทย และร่วมลงทุนกับญาติพี่น้องเพื่อนฝูงที่อเมริกา แหวนแนะนำให้จดแบบ Corporation คะ เพราะ ถ้ามีต่างชาติร่วมลงทุน คุณไม่สามารถจะยื่นภาษีแบบ S-Corp ได้ มีผลทำให้ คนที่นี่ต้อง จ่าย self- employment at 15% from Net Income ค่ะ
เจ้าของกิจการร้านอาหารที่นี่บางท่านทราบจุดนี้ดีคะ จากประสบการณ์ ยังไม่หลายๆ ท่านที่ไม่รู้เรื่องอะไร เลย CPA or Lawyer จัดการให้หมด
ข้อเสียของการจดแบบ corporation คือ double tax ค่ะ กรณีที่มีการจ่ายปันผล แหม นึกถึงบ้านเราสิคะ บริษัทมีหน้าที่จ่ายภาษีจากำไร พอจ่ายปันผลผู้ถือหุ้นถึงมาเสีย เหมือนกันเลยคะ แต่คุณต้องวางแผนในการจ่ายปันผลคะ ไม่จำเป็นไม่ต้องจ่ายคะ เอาไว้ขยายร้านและลงทุนต่อ ถ้าคุณอยากใช้เงินจากร้าน คุณรับเป็นเงินเดือนไปคะ รับโบนัสไปคะ ไม่มีใครว่า และคุณไม่ต้องมากังวลเรื่อง การจ่ายเงินปันผล
2.3) Doing Business As (DBA) จะทำเบียนชื่อร้าน
คุณต้องขออนุญาตจากทาง เสตท โดยการจด DBA กรณีที่ชื่อหน้าร้านอาหาร ไม่ตรง กับ ชื่อบริษัทที่จดทะเบียนคะ เช่น ชื่อบริษัท ABC, ร้านชื่อ “อร่อยมาก” . ถ้าอยากประหยัดเวลาทำงานขั้นตอนเดียวจบ ให้จดบริษัทตรงกับชื่อร้านคะ สะดวก ที่สุด
3.) Federal Employer Identification Number (FEIN)
หลังจากจดทะเบียนเรียบแล้วแล้ว ให้ขอเลขประจำตัวนายจ้าง กับ the IRS เรียกว่า Federal Employer Identification Number (FEIN) สามารถขอออนไลน์ได้ค่ะ หรือไม่ก็ส่งฟอร์มกลับไปที่ the IRS.
4.) Open business banking & Opening Merchant Account for Credit Cards
เปิดบัญชีธนาคารในนามของกิจการคะ แนะนำให้เปิดกับธนาคารที่คุณเป็นลูกค้าประจำ เพราะจะได้สะดวกรวดเร็วคะ
กรณีที่คุณเป็นนักลงทุนมาจากประเทศไทย คุณไปเปิดธนาคารที่ใกล้ร้านคะ ขอธนาคารมีชื่อหน่อยจะได้ ทำธุรกรรมออนไลน์ได้สะดวก ทุกที่ทุกแหล่ง
เอกสารที่ใช้ก็ทุกอย่างละคะเกี่ยวกับกิจการ ที่กล่าวถึงมาข้อ 1 ถึง ข้อ 3 ล้วน ๆ ค่ะ และคุณก็ไปเสนอหน้าพร้อมร้อยยิ้มนะคะ
งานนี้คุณก็มีบัญชีธนาคารของร้านแล้วคะ ต่อไปจะซื้อจะจ่ายอะไรให้ใช้เงินของร้านนะคะ พยายามอย่าใช้จากส่วนตัว ให้นำเงินส่วนตัวฝากเข้าบัญชีร้านคะ เพราะยังไงคุณต้องลงทุนใช่เปล่าคะ
ส่วนใหญ่ทุกธนาคารจะมีบริการเรื่องการรับเงินจากลูกค้าด้วยบัตรเครดิต ควรจะสอบถามไปด้วยคะ ถ้าคุณไม่สนใจใช้บริการของร้าน จะมี บริษัทที่นำเสนอเยอะแยะคะ คุณสามารถเปลี่ยนแปลง ได้ ตราบใดที่คุณไม่เซ็นสัญญาระยะยาวกับที่ใดที่หนึ่ง กว่าร้านจะเปิดบริการให้หาข้อมูลจากหลาย ๆ แหล่งคะ เพื่อจะได้ตัดสินใจไม่พลาด แหวนแนะนำให้ใช้บริการของธนาคารที่เรามีบัญชีคะ ค่าบริการอาจจะแพงหน่อย แต่สะดวกคะ กรณีที่คุณไม่มีเวลาหาบริษัทอื่นๆ
5.) Location มองหาทำเลที่จะเปิดคะ พร้อม ๆ กับ ข้อ 1.) ในรัฐที่คุณจะเปิดร้านนะคะ
เลือกทำเลที่มีคนขาวเยอะ ๆ คะ (ปล.ไม่ได้เหยียดผิวนะคะ) เพราะ กลุ่มนี้กำลังซื้อสูงมาก และ ร้านจะปลอดภัยคะ เพราะ ร้านจะอยู่ในทำเลที่ดี ค่าเช่าจะแพง คุณตั้งเมนูราคาแพงได้คะ (จากประสบการณ์ที่ทำงบการเงินให้ลูกค้าร้านอาหารคะ) ดูว่ามีที่จอดรถสะดวกหรือเปล่า เป็นแหล่ง ธุรกิจไม๊ หรือแหล่งที่อยู่อาศัย
อยากรู้ว่า เมืองนี้รหัสไปรษณีย์นี้ มีประชากรเท่าไร อย่างไร เช็คได้จากเว็บนี้ค่ะ City Data
หลาย ๆ ท่านที่รู้จัก อยากมาลงทุนเพราะต้องการให้ลูก ๆ ได้เรียนต่อที่นี่ คุณก็ค้นหา โรงเรียนดี ๆ ได้จาก รหัสไปรณษีย์คะ ตามเว็บ ไซด์ ที่ขายอสังหาต่าง ๆ คะ เช่น Zillow, Realtor, google ได้หมดคะ
5.1) Lease agreement สัญญาเช่าร้านอาหาร
พิจารณาค่าเช่าต่อปี ต่อเดือน ทำสัญญากี่ปี เราต้องรับผิดชอบอะไร บ้าง เช่น ให้ดูอัตรา Property Tax ของเมืองที่จะไปเปิดร้านโดยทั่วไป ควรจะศึกษาพวก Double Net/ Triple Net ว่ามีข้อดีข้อเสียอย่างไร คือ แลนด์ลอด บางที่คิดค่าเช่า โดยที่ไม่รวม ภาษีอาคาร บางที่ รวมอัตราภาษีไปแล้ว ซึ่งจะแพงหน่อย ให้เราพิจารณาเป็นจุด ๆ ไป ทุกอย่างต่อรองได้คะ เช่น ขอฟรี3 เดือนเพื่อสร้างร้าน หรือ ขอให้แลนลอร์ด ลดค่าเช่าให้คะ ปีแรก หรือ ให้แลนลอร์ด ช่วยจ่ายค่าปรับปรุงร้านครึ่งหนึ่ง หรือให้แลนลอร์ดจ่ายให้ทั้งหมดเลยคะ กรณีเจอ คนใจดี มีนะคะ เจอมาแล้ว
ข้อควรทราบคือค่าเช่าส่วนใหญ่จะขึ้นทุกปีคะ ไม่เกิน 3% ของอัตราค่าเช่า เหมือนกับขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อคะ
5.2) Leasehold Improvements การปรับปรุงร้าน
ร้านที่เราจะไปลงทุนแบบไหน แบบที่ตกแต่ง เรียบร้อย (กรณีไปซื้อร้านอาหารไทยเดิม) หรือ ร้านไม่มีอะไรเลย เป็นห้องเปล่า ๆ หรือ เป็นร้านอาหารประเภทอื่น ๆ ที่เราจะมาดัดแปลงเป็นร้านอาหารไทย
ที่กล่าวมาคือ จะโยงกับทุนที่คุณมีคะ เพราะการที่คุณจะทำร้านใหม่ ตกแต่งอุปกรณ์ใหม่ๆ คุณ ต้องตรวจสอบระเบียบของ เมือง กรณีที่คุณต้องทำใหม่หมดเลย เพราะมีแค่ห้องเปล่า ๆ คุณจะใช้เงินลงทุนสูงพอสมควร ที่สำคัญ ต้องหาผู้รับเหมาหรือสถาปนิกที่ไว้ใจได้ เข้าไปประเมินค่าก่อสร้างต่อเติม และผู้รับเหมา ส่วนใหญ่คุณควรเลือกคนที่มีลายเซ่น ถูกต้องในการก่อสร้าง เปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่สำคัญเขาต้องมีประกันด้วยค่ะ เผื่อมีการบาดเจ็บ เกิดขึ้น คุณในฐานะเจ้าของร้านจะได้ไม่ต้องรับผิดชอบก่อนทำสัญญาคุณสามารถขอเอกสาต่าง ๆ เหล่านี้กับผู้รับเหมาได้ ควรจะมีผู้รับเหมามาประเมิน อย่างน้อยสามราย กรณีที่เราไม่รู้จักเป็นการส่วนตัว เพราะคุณจะได้ทราบว่า เขาจะทำอะไรให้ได้บ้าง เราทำอะไรเองได้บ้างคะ การเลือกราคา อย่าเลือกที่ถูกที่สุดคะ เพราะที่อเมริกา ไม่มีของฟรีแต่ดีหรอกคะคุณ แต่ไม่ต้องถึงกับเลือกแบบที่แพงที่สุดนะคะ
การต่อเติมตกแต่ง อาคารนั้น มีกฏหมายด้านการก่อสร้างเข้ามาเกี่ยวกับ ซึ่งขึ้นอยู่กับ City และ หรือ county ส่วนใหญ่ ค่ะ บางที่เขี้ยวลากดิน หรือเข้มงวดมากๆๆ
ควรจะคุยกับ แลนด์ลอด ด้วยนะคะ เพราะ เขาจะมีข้อมูลเบื้องต้นให้เราคะ ว่าอันไหนเราทำได้ อันไหน เราทำไม่ได้ ให้ระวังงบบานปลายด้วยคะ เพราะ ถ้าคุณเซ็นสัญญาเช่าแล้ว คุณก้าวออกมาไม่ได้แล้วค่ะ มีหลายเรื่องที่คุณควรทราบทั้งระบบท่อน้ำทิ้ง ระบบไฟฟ้า สารพัดคะ ทั้ง ทางเข้าออกสำหรับคนพิการ เดี๋ยวเจอคนพิการฟ้องเอาอีก ยุ่งเลย พี่ที่รู้จัก ต้องทำทางเดินให้คนพิการเข้ามาได้คะ
6.) Licenses ลายเซ่นต่าง ๆ ที่จำเป็นสำหรับธุรกิจร้านอาหาร
6.1) Business License ส่วนใหญ่เอกสารตัวนี้ต้องขอจาก City ที่ร้านเปิดบริการ
6.2) Sales and Use Tax Certificate เอกสารชุดนี้ขอได้จากรัฐ พร้อมกับ 6.3
6.3) State Unemployment Identification Number ขอได้จากรัฐ พร้อมกับ เอกสารด้านภาษีขาย
6.4) Food safety Certification เอกสารตัวนี้ผู้จัดการ้านอาหารขอได้คะ หรือไม่ก็เจ้าของกิจการ
6.5) Permit from Health Department เอกสารชุดนี้ขอจาก City หลังจากที่ร้านพร้อมก่อนจะเปิดทำการ (ระบุในข้อ 10 ค่ะ ขั้นตอนสุดท้ายก่อนร้านพร้อมจะเปิดบริกา
6.6) Certificate of Fire Department clearance เอกสารชุดนี้ขอจาก Country or City ขึ้นอยู่กับสังกัดคะ ขอพร้อมก่อนเปิดการทำการ
6.7) Alcohol licenses ขอได้จาก City หลังจากที่ได้เลขประจำตัวผู้เสียภาษีจากทางรัฐคะ
ส่วนใหญ่แต่ละรัฐ จะมี one stop services ซึ่งสามารถขอเลขประจำตัวผู้เสียภาษี เลขประจำตัวนายจ้างได้พร้อมกันเลยคะ เอกสารต่าง ๆ เหล่านี้สามารถทำไปพร้อม ๆ กันได้คะ เพราะ ต้องใช้ในการโอน license ต่าง ๆ กรณีซื้อร้านต่อ หรือไม่จะขอใหม่ต้องใช้เอกสารเหล่านี้ค่ะ
ซื้อร้านอาหารไทยเจ้าของเดิม สามารถโอน license ต่าง ๆ รวมทั้ง alcohol license การโอน การจดทะเบียน ค่าน้ำ ค่าไฟ โอน โทรศัพท์ พวกนี้ทำได้หมดค่ะ หรือไม่ก็จดทะเบียนใหม่กันไปเลยคะ ถ้าเราไม่ได้ซื้อร้านต่อจากใครเราก็ทำเองได้ค่ะ ไปที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แลนลอร์ด เป็นแหล่งขอ้มูลที่ดีมากค่ะ กรณีแบบนี้
7.) Liability Insurances ประกันต่าง ๆ ที่ทาง เจ้าของตึกต้องการ
ก่อนเจ้าของตึกจะให้เราเข้ามาทำธุรกรรมต่าง ๆในตัวอาคาร เช่นการต่อเติม ส่วนใหญ่เขาจะให้เราซื้อประกันต่าง ๆ ก่อนค่ะ และชื่อผู้รับผลประโยชน์ก็จะเป็นเจ้าของอาคาร แต่เราเป็นผู้จ่ายประกัน. บางเมืองถ้ามีพนักงานมากกว่า 3 คน ต้องซื้อ Worker Compensation Insurance ด้วยค่ะ อันนี้ตัวแทนประกันเขาจะทราบดี ถามเขาได้ก่อน ถามแลนลอร์ดก็ได้ เขามีข้อมูลเยอะ แนะนำเราได้ตลอด ดีที่สุด ถ้าเราซื้อร้านอาหารต่อจากใคร ถามเจ้าของร้านเดิมค่ะ
8.) Kitchen Equipment and Furniture and fixtures. อุปกรณ์ภายในครัวและเฟอนิเจ้อในร้าน
กรณีคนที่มีประสบการณ์ในการทำร้านอาหาร จะทราบดีกว่า ต้องมีอุปกรณ์อะไร มีไว้เป็นลิส ๆให้เลยค่ะ เยอะมาก ๆๆ Google search ได้เลยค่ะ ตามลิงค์ Food Service Resource
ถ้าคุณไม่มีประสบการณ์เลย คุณควรติดต่อกับคนที่มีประสบการณ์มาช่วยดูอีกทีค่ะ ว่าต้องมีอะไรบ้าง บางเมือง การติดตั้งอุปกรณ์พวก ดูดควัน ดูดท่อน้ำทิ้ง เคร่งครัดมาก ต้องขุดเจาะ นอกร้านระยะห่างประมาณเท่าไร ทราบข้อนี้เพราะอ่านจากสมาชิกในกลุ่มกฏหมาย และมีเพื่อนเปิดร้านอาหารในเมืองเก่าแก่ที่ค่อนข้างเข้มงวดมาก
ข้อแนะนำคือ ให้ไปซื้อร้านเดิมที่เขาจะขาย และไม่ต้องทำอะไรมากมายคะ อย่างน้อยร้านเดิม ก็ผ่านการตรวจมาก่อน และ ไมมีปัญหากับ เจ้าหน้าที่
อุปกรณ์ตกแต่งร้านต่าง ๆ เช่น โต๊ะ เก้าอี้ ออกแบบเลยคะ ชอบแบบไหน ถ้าซื้อร้านเดิม อยากใช้ของเดิม จัดไปคะ จะได้ประหยัด กรณีงบประมาณไม่มาก ทำไปสักพักร้านมีกำไร ค่อย ทยอยปรับปรุงคะ
9.) Menus รายการอาหาร
จำเป็นอย่างยิ่ง เตรียมไว้เลยค่ะ พิมพ์ให้ดูสวยงาม มีโลโก้ร้าน ดูจากร้านเดิมก็ได้คะ หรือไม่ก็ทำขึ้นมาใหม่แบบของคุณเอง การใช้เมนูร้านเดิม จะทำให้คุณได้ แนวคิด (กรณี ร้านเดิมเป็นร้านไทย) ด้านราคา เพราะการจะขึ้นราคาอาหาร จะมีผลต่อยอดขายค่ะ
ต้องการคิดราคาอาหารเพิ่ม ควรคิดเมนูใหม่ ๆ ขึ้นมา ที่ลูกค้าไม่รู้จัก ไม่ชิน เขาจะได้ไม่รู้สึกว่า เราคิดราคาเพิ่มนะคะดูเรื่องการตลาดให้ดี ไปกินร้านอาหาร ระแวกนั้นหลายๆ ที่ เพื่อนำมาประกอบกับการตัดสินใจในการตั้งราคาคะ (แอบทราบ นิดหนึ่ง)
10.) Health Department หน่วยงานสารธารสุขในพื้นที่
ขั้นตอนสุดท้ายก่อนที่ร้านจะเปิดดำเนินการได้ เราติดต่อเจ้าหน้าที่ไปค่ะ มีการกรอกแบบฟอร์ม เพื่อให้เขามาตรวจ ก่อนจะติดต่อกับหน่วยงานนี้ควรจะให้ทำร้านให้เรียบร้อยพร้อมเปิดดำเนินการได้ก่อนนะคะ เช่นเราคาดว่า อีก 15 วัน ร้านน่าจะพร้อม เพื่อเปิดดำเนินการ เริ่มทำเรื่องได้เลยคะ เพราะ ใช้เวลานานพอสมควรกว่าเจ้าหน้าที่จะเข้ามาทำการตรวจสอบ
11.) Accounting for restaurant business การทำบัญชีสำหรับร้านอาหาร
การบัญชีเกี่ยวกับร้านอาหาร จะละเอียด มากกว่า กิจการ บริการอื่นๆ เพราะมีรายการทางการค้าทุกวัน รับเงินจากบัตรเครดิต ยอดเล็ก ๆ ยิบย่อยเยอะมาก
เปิดร้านครั้งแรก ควรวางระบบบัญชีให้เรียบร้อยค่ะ ถ้าเจ้าของร้านจบบัญชีมา สามารถประยุกต์ความรู้ที่มี เพื่อนำไปใช้กิจการได้เลยค่ะ โปรแกรมที่แนะนำก็จะมีพวก QuickBooks, Peachtree, Quicken พวกนี้ทำบัญชีได้หมดคะ ที่นิยมก็คือ QuickBooks ค่ะ ไม่แนะนำให้ใช้ Microsoft excel ค่ะ เพราะรายการเยอะพอสมควร ถึงแม้จะแค่ร้านเล็ก ๆ .
ถ้าไม่ได้จบบัญชีมาให้จ้าง นักบัญชีคะ จะได้ไม่พลาด ใครก็ได้คะ ที่ช่วยแนะนำเราได้ ไม่ใช่บัญชี แต่ธุรกิจด้วย
นักบัญชีไม่จำเป็นต้องมี license CPA ค่ะ แต่ให้เขาจบบัญชีอย่างน้อย ปริญญาตรีด้านบัญชี มาจากเมืองไทยก็ได้ค่ะ ใช้ได้หมด ถ้าจะจ้าง Enrolled Agent (EA) ก็ได้ค่ะ แต่คนนั้นควรจะจบบัญชี
ดีทีสุดก็ CPA ค่ะ เพราะ กว่าจะสอบผ่าน ไม่ใช่แค่การลงบัญชีคะ ต้องรู้หลาย ๆ เรื่อง ทุก ๆ เรื่องเกี่ยวกับธุรกิจกฏหมาย ภาษี อีกอย่าง กลุ่มนี้เขาจะต้องรักษามารยาท เช่น ไม่เปิดเผยความลับของลูกค้า แนะนำลูกค้าให้ทำบัญชีให้ถูกต้อง
คำแนะนำในฐานะที่ทำบัญชีให้ร้านอาหาร
ไม่ได้เป็นเจ้าของร้านอาหารเอง แต่ทำบัญชีให้ร้านอาหาร รัฐใหญ่ ๆ ในอเมริกา เช่น California, Florida, Massachusetts, Pennsylvania, Colorado, etc., เห็นร้านที่มีกำไร และร้านที่ขาดทุน มากเยอะพอสมควรคะ มีปัจจัยหลายอย่างไม่ใช่แค่ทำเล ไม่ใช่แค่ราคาอาหาร การดูและพนักงานที่ทำงานในร้านก็สำคัญค่ะ มีร้านที่ประสบความสำเร็จจริง ๆ ที่เห็น คือ ดูและพนักงานดีมาก พนักงานทำงานให้เต็มที่ ดูแลลูกค้าดี กิจการมีกำไร ค่ะ
หาคนที่มีประสบการณ์มาช่วยจะดีมากสำหรับมือใหม่คะ เจ้าของร้านอาหารควรจะทำอาหารเป็นด้วยนะคะ ถ้าคุณประสบความสำเร็จ ได้เงินคืน ภายใน 3 ปีแน่นอนค่ะ มิได้กล่าวถึงร้านที่ต้องเลิกไปนะคะ ส่วนใหญ่ที่เห็น คือ เอาเงินร้านมาใช้ส่วนตัวมั๊ก ๆ ไม่มีการลงบัญชีที่ถูกต้อง (จริง ๆ ลงบัญชีคะ ไปจ้างเขาทำ แต่ไม่รู้เขาทำอะไรให้บ้าง ไม่รู้ทำถูกหรือเปล่าอีกต่างหาก) แถมเอาเงินในร้านไปใช้ตลอด ไม่มีการจ่ายชำระภาษี ขายให้ State หารู้ไม่ว่า เงินที่เก็บจากลูกค้านั้น รวมภาษีขายด้วย และเรามีหน้าที่นำส่ง.