Whole Foods เผยแนวโน้มการบริโภคสินค้าอาหารของชาวอเมริกันในปีหน้า
บริษัท Whole Foods Market ผู้จำหน่ายสินค้าอาหารเพื่อสุขภาพและสินค้า เกษตรอินทรีย์รายใหญ่ของสหรัฐฯ สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมือง Austin รัฐเทกซัส ได้ทำการศึกษาวิจัยแนวโน้ม พฤติกรรมการเลือกซื้อสินค้าอาหารของผู้บริโภคชาวอเมริกัน โดยการเก็บข้อมูลสถิติการสั่งซื้อสินค้าในแต่ละแผนก ได้แก่ แผนกสินค้าผลิตภัณฑ์จากนม แผนกสินค้าอุปโภคบริโภค แผนกสินค้าเนื้อสัตว์ แผนกสินค้าอาหารทะเล แผนกสินค้าอาหารปรุงสำเร็จ แผนกสินค้าผักและผลไม้สด และแผนกสินค้าเพื่อสุขอนามัยส่วนบุคคลจำนวนทั้งสิ้น 465 สาขาทั่วสหรัฐฯ พบว่า ผู้บริโภคชาวอเมริกันมีแนวโน้มนิยมเลือกบริโภคอาหารญี่ปุ่น เส้นพาสต้าทำจากวัตถุดิบทางเลือก และสินค้าอาหารที่มีสีม่วงมากขึ้นในปี 2560 โดยรายละเอียดสินค้าอาหารที่มีแนวโน้มได้รับความนิยมในกลุ่มผู้บริโภคชาวอเมริกันในปี 2560 สามารถสรุปได้ ดังนี้
1. สินค้าเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ (Wellness Tonics) โดยการนำวัตถุดิบธรรมชาติที่มีสรรพคุณ ทางยา ได้แก่ เห็ดทางการแพทย์ (Medicinal Mushrooms) น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิล (Apple Cider Vinegar) และขมิ้น มาใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องดื่ม ตัวอย่างสินค้า เช่น “Kor Organic Raw Shots” “Suja Drinking Vinegars” และ “Temple Turmeric Elixirs” เป็นต้น
2. สินค้าทำจากวัถุดิบที่เหลือจากกระบวนการผลิต (Product from Byproducts) ผู้ผลิตต่าง เริ่มนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมชั้นสูงเข้ามาใช้เพื่อเปลี่ยนวัถุดิบที่เหลือจากกระบวนการผลิตสินค้าอาหาร เช่น กาก การผลิตเบียร์ กากการผลิตกรีกโยเกิร์ต และน้ำที่เหลือจากอุตสาหกรรมการผลิตถั่วลูกไก่ (Chickpea) ตัวอย่าง สินค้า เช่น “Sir Kensington’s Fabanaise” (มายองเนสทำจากน้ำที่เหลือจากกระบวนการผลิตถั่วลูกไก่) และ “The White Moustache” (เครื่องดื่มโปรไบโอติกส์ทำจากกากการผลิตกรีกโยเกิร์ต) เป็นต้น
3. ผลิตภัณฑ์จากมะพร้าว (Coconut Everything) สินค้านวัตกรรมจากมะพร้าวที่ได้รับความ นิยม ได้แก่ แป้ง แผ่นแป้งตอร์ตียา (Tortilla) ขนมขบเคี้ยว ของหวาน และแยม เป็นต้น นอกจากนี้ น้ำมันจาก มะพร้าวยังได้รับความนิยมนำไปใช้เป็นส่วนผสมในกลุ่มสินค้าเครื่องสำอางค์และสินค้าเพื่อสุขอนามัยส่วนบุคคล อีกด้วย
4. อาหารญี่ปุ่นนอกจากซูชิ(Beyond Sushi) สินค้าอาหารญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยมในกลุ่ม ผู้บริโภคชาวอเมริกันมากขึ้น ได้แก่ ซอสพอนซู (Ponzu) มิโซะ น้ำมันงา และน้ำส้มสายชูหมักจากบ๊วย (Plum Vinegar) อีกทั้ง สินค้ากลุ่มสาหร่ายญี่ปุ่น ได้แก่ สาหร่ายเคลป (Kelp) สาหร่ายวากาเมะ (Wakame) สาหร่ายโดส (Dulse) และสาหร่ายโนริ (Nori) และสินค้าหมักดองแบบญี่ปุ่นก็ได้รับความนิยมเช่นเดียวกัน
5. เครื่องปรุงรสแบบใหม่ (Creative Condiments) ผู้ผลิตมักจะสรรหาวัตถุดิบที่น่าสนในมาใช้ ในการผลิตเครื่องปรุงรสแบบใหม่ ๆ เช่น ซอสตาฮินีจากงาดำ (Black Sesame Tahini) แยมจากพริกฮาบานีโร (Habanero Jam) เนยกี (Ghee) กากน้ำตาลจากทับทิม (Pomegranate Molasses) ซอสกระเทียมดำ (Black Garlic Puree) ซอสพิริพิริ (Piri Piri Sauce) เป็นต้น
6. เส้นพาสต้าทำจากวัตถุดิบทางเลือก (Rethinking Pasta) ด้วยกระแสความนิยมในการดูแล สุขภาพทำให้ผู้บริโภคต้องการที่จะบริโภคสินค้าเส้นก๋วยเตี๋ยวและพาสต้าที่ทำจากวัตถุดิบธรรมชาติมากขึ้น เช่น ควินัว (Quinoa) ถั่วเลนทิล (Lentil) ถั่วลูกไก่ (Chickpea) และผักต่าง ๆ นอกจากนี้ ยังมีความนิยมบริโภคเส้นสด และเส้นพิเศษอื่น ๆ อีกด้วย
7. สินค้าอาหารสีม่วง (Purple Power) พืชที่มีสีม่วงมีสาร Anthocyanin ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูล อิสระในปริมาณสูง ดังนั้น จึงได้รับความนิยมในการเลือกบริโภคมากขึ้น โดยสินค้าที่ได้รับความนิยม ได้แก่ มันฝรั่ง ม่วงทอดกรอบ ซีเรียลจากข้าวโพดสีม่วง นอกจากนี้ สินค้าผักและผลไม้ที่มีสีม่วง เช่น ดอกกะหล่ำสีม่วง ข้าวดำ หน่อไม้ฝรั่งสีม่วง เบอร์รีที่มีสีม่วง และ อาซาอิ (Acai) ก็ได้รับความนิยมเช่นเดียวกัน
8. อาหารมังสวิรัติแบบยืดหยุ่น (Flexitarian) เป็นแนวโน้มการรับประทานอาหารที่ยืดหยุ่นโดย เน้นประโยชน์ต่อสุขภาพไม่ยืดติดการการรับประทานอาหารแบบใดแบบหนึ่่ง
9. อาหารพร้อมรับประทานที่ให้ความสำคัญกับวัตถุดิบ (Mindful Meal Prep) ผู้บริโภคที่ ต้องการจะประหยัดเวลาและเงินบางกลุ่มเลือกที่จะปรุงอาหารเองร่วมกับการซื้อสินค้าอาหารปรุงสำเร็จพร้อมรับประทาน
บทวิเคราะห์จากผู้เขียน: ปัจจุบันผู้บริโภคชาวอเมริกันนิยมเลือกบริโภคอาหารโดยเน้นประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น อาหารเกษตรอินทรีย์ (Organics) อาหารธรรมชาติ (Natural) อาหารที่มีโปรตีนสูง (High Protein) อาหาร ปราศจากกลูเตน (Gluten Free) อาหารไขมันต่ำ (Low Fat) อาหารปราศจากน้ำตาล(Sugar Free) และอาหารโซเดียมต่ำ (Low Sodium) เป็นต้น นอกจากนี้ ยังนิยมเลือกบริโภคอาหารที่ผ่านกรรมวิธีการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Eco Friendly) รวมถึงการใช้ภาชนะหรือบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วย ตลาดสินค้าอาหารและเครื่องดื่มเกษตรอินทรีย์ของสหรัฐฯ ถือว่าเป็นตลาดสินค้าอาหารและ เครื่องดื่มเกษตรอินทรีย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีสัดส่วนร้อยละ 62 จากตลาดสินค้าอาหารเกษตรอิทรีย์ทั่วโลกที่มี ขนาดทั้งสิ้น 63,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 2.21 ล้านล้านบาท) และมีอัตราการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ในช่วง 10 ปี ที่ผ่านมา ทั้งนี้ คาดว่าตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ของสหรัฐฯ จะมีอัตราการขยายตัวเฉลี่ยสะสมต่อปี (Compound Annual Growth Rate หรือ CAGR) ร้อยละ 14 ในช่วงระหว่างปี 2557 – 2561 สินค้าเกษตรอินทรีย์ที่มียอดจำหน่ายสูงสุดในสหรัฐฯ คือ ผักสดและผลไม้สด (ร้อยละ 43.3) รองลงมา นมและผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม (ร้อยละ 14.6) เครื่องดื่ม (ร้อยละ 11.0) สินค้าอาหารสำเร็จรูป (ร้อยละ 10.6) ขนมปังและธัญพืช (ร้อยละ 9.1) ขนมขบเคี้ยว (ร้อยละ 5.0) เนื้อสัตว์ (ร้อยละ 3.3) และ เครื่องปรุงอาหาร (ร้อยละ 3.2) ตามลำดับ
ข้อคิดเห็น/ข้อเสนอแนะจากผู้เขียน: สินค้าไทยหลายรายการถือเป็นสินค้าศักยภาพในการทำตลาดผู้บริโภค ชาวอเมริกัน ได้แก่ สินค้าข้าวและผลิตภัณฑ์จากข้าว เช่น เส้นก๋วยเตี๋ยวแห้ง เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าวสี และข้าวไรซ์เบอร์รีที่มีแนวโน้มความต้องการบริโภคเพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในปัจจุบัน นอกจากนี้ สินค้าน้ำมะพร้าวและผลิตภัณฑ์จากมะพร้าวยังได้รับความนิยมในตลาดผู้บริโภคชาวอเมริกันอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน ดังนั้น ผู้ผลิต/ผู้ส่งออกไทยที่สนใจทำตลาดดังกล่าวควรที่จะศึกษาแนวโน้มความต้องการในการบริโภคของผู้บริโภคชาวอเมริกันอย่างละเอียดเพื่อนำข้อมูลที่ได้ไปใช้ประกอบการวิจัยและพัฒนาสินค้าเพื่อให้ตรงตามความต้องการของ ผู้บริโภคต่อไป นอกจากนี้ ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยควรที่จะร่วมมือกันส่งเสริมผู้ผลิตสินค้าธรรมชาติและสินค้าเกษตรอินทรีย์ไทยอย่างจริงจัง ทั้งการสนับสนุนด้านเงินทุนและเทคโนโลยีการผลิต เพื่อเพิ่ม ความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกที่กำลังหันกลับไปสู่การบริโภคสินค้าอาหารและเครื่องดื่มธรรมชาติและเกษตรอินทรีย์มากขึ้น
ที่มา: กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์
อ่านข่าวเพิ่มเติมจาก สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ เมือง ไมอามี่ ประจำวันที่ 10-15 ธันวาคม 2559