ซีพีเอฟทุ่ม3.8หมื่นล้านซื้อ ‘Bellisio’ ธุรกิจอาหารแช่แข็งสหรัฐฯ

ซีพีเอฟทุ่ม3.8หมื่นล้านซื้อ ‘Bellisio’ ธุรกิจอาหารแช่แข็งสหรัฐฯ

The logo of Charoen Pokphand Foods is pictured at a food hall in Bangkok, Thailand, February 29, 2016. REUTERS/Athit Perawongmetha/File Photo

“ซีพีเอฟ”ทุ่มเกือบ 4 หมื่นล้านซื้อ “Bellisio”ธุรกิจผลิต-จำหน่ายอาหารแช่แข็งในสหรัฐฯ แหล่งเงินลงทุนใช้กระแสเงินสดของบริษัท

 นางสาวพัชรา ชาติบัญชาชัย เลขานุการ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า บริษัทได้เข้าซื้อกิจการของ Bellisio Parent, LLC. จาก BellisioConsolidated Equity,LLC โดยบริษัทจะเข้าซื้อเงินลงทุนทั้งหมดใน Bellisio ในราคารวม 1,075 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 38,161 ล้านบาท

ทั้งนี้มูลค่ารวมดังกล่าวอาจมีการเปลี่ยนแปลงจากการปรับปรุงด้วยตัวเลขตามบัญชีของกลุ่ม Bellisio ณ วันที่เข้าซื้อกิจการเสร็จสมบูรณ์ ตามสูตรการคำนวณที่ระบุไว้ใน SPA ซึ่งการเข้าซื้อกิจการในครั้งนี้ จะมีผลทำให้ Bellisio และบริษัทย่อยของ Bellisio มีสถานะเป็นบริษัทย่อยของบริษัท

Bellisio เริ่มดำเนินธุรกิจในสหรัฐฯ ครั้งแรกตั้งแต่ปี 2533 โดยเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารแช่แข็งพร้อมรับประทานประเภท Single Serve ซึ่งมีส่วนแบ่งการตลาดเป็นลำดับ 3 ในสหรัฐ ภายใต้ตราสินค้า ได้แก่ Michelina’s ,Boston Market, Chilli’s และ Atkins เป็นต้น รวมถึงอาหารเพื่อสุขภาพ ซึ่งมีจุดเด่นด้านคุณภาพและโภชนาการภายใต้ตราสินค้า EatingWell และEAT! ซึ่งกลุ่ม Bellisio เพิ่งวางจำหน่ายเมื่อเร็วๆ นี้

นอกจากนี้ Bellisio ยังเป็นผู้นำในตลาดอาหารแช่แข็งพร้อมรับประทานแบบ Single Serve ในประเทศแคนนาดา ปัจจุบัน Bellisio มี 4 โรงงาน ตั้งอยู่ในรัฐโอไฮโอ รัฐแคลิฟอร์เนีย และรัฐมินนิโซตา

สำหรับผลการดำเนินงานของ Bellisio ในปี 2558 ปรากฎว่า มียอดขาย 20,888 ล้านบาท ขณะมีผลขาดทุน 501 ล้านบาท มีสินทรัพย์รวม 16,049 ล้านบาท มีหนี้สินรวม 13,428 ล้านบาท และมีส่วนของผู้ถือหุ้น 2,801 ล้านบาท

ส่วนผลประโยชน์ที่บริษัทจะได้รับจากการลงทุนครั้งนี้ คือ 1. Bellisio จะเป็นฐานที่สำคัญของซีพีเอฟ ในการเข้าสู่ตลาดธุรกิจอาหารที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก เนื่องจากกลุ่ม Bellisio มีธุรกิจหลักที่แข็งแกร่ง และมีตราสินค้าซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วไป  2.กลุ่ม Bellisio จะเป็นช่องทางให้กลุ่มซีพีเอฟ ส่งออกสินค้าเข้าสู่ทวีปอเมริกาเหนือได้ โดยใช้เครือข่ายการกระจายสินค้าที่มีอยู่ทั่วประเทศ และมีความสัมพันธ์อันดีกับผู้ค้าปลีกรายสำคัญของกลุ่ม Bellisio

3.กลุ่ม Bellisio และซีพีเอฟ สามารถใช้จุดแข็งของตน เพื่อผนึกศักยภาพในการดำเนินธุรกิจร่วมกัน เช่น การขยายช่องทางการจัดจำหน่ายไปสู่ผู้บริโภครายย่อย โดยใช้ความสัมพันธ์ที่ซีพีเอฟ มีกับผู้ค้าปลีก และการต่อยอดเข้าสู่ตลาดสินค้าและธุรกิจฟู้ดเซอร์วิสในกลุ่มอาหารเอเชีย ซึ่งซีพีเอฟ มีความเชี่ยวชาญ และมีเครือข่ายในเอเชีย และประเทศต่างๆ ทั่วโลก

ส่วนแหล่งที่มาของเงินทุนในการซื้อกิจการในครั้งนี้ จะเป็นกระแสเงินสดภายในกลุ่มซีพีเอฟ

สำหรับการเคลื่อนไหวราคาหุ้นซีพีเอฟครึ่งเช้าวันนี้ (17พ.ย.) ปิดตลาดครึ่งวันเช้าที่ 28 บาท ลดลง 0.75 บาท หรือลดลง 2.61% มูลค่การซื้อขาย 819.31 ล้านบาท

คาดรายได้ปี 60 อยู่ที่ราว 5 แสนล้านบาท เติบโตไม่น้อยกว่า 10%  หลังเข้าซื้อกิจการ  Bellisio โดยตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนธุรกิจอาหารเป็น 25% ในปี 63 จาก 17% ในปี 60

นายอดิเรก  ศรีประทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานคณะผู้บริหาร  บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร  หรือ  CPF เปิดเผยว่ารายได้ปี 59 จะทำได้ 4.5  แสนล้านบาท เติบโต 12% จากปีก่อน สูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ว่าจะเติบโต 10% และในปี 60 คาดว่ารายได้จะเติบโตไม่น้อยกว่า 10% มาที่ 5 แสนล้านบาท และคาดว่าในช่วง 5 ปีข้างหน้ารายได้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% ต่อปี

ทั้งนี้ รายได้ของบริษัทจะมาจากธุรกิจเดิมที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง (Organic Growth) เช่น ฟาร์มสุกร ฟาร์มไก่ สินค้าแปรรูป อาหารสำเร็จรูป เป็นต้น รวมทั้งจากการเข้าซื้อกิจการและร่วมลงทุน (M&A) โดยปีนี้บริษัทมีดีลซื้อกิจการ 11 รายการ ซึ่งดีลใหญ่สุดของปีนี้คือการเข้าซื้อ หลังเข้าซื้อกิจการ Bellisio Foods Inc. (Bellisio) ซึ่งทำธุรกิจอาหารแช่แข็งพร้อมรับประทานในสหรัฐฯ มูลค่า 1.075 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 3.8 หมื่นล้านบาท  และยังมองมีโอกาสเข้าซื้อกิจการธุรกิจอาหารในสหรัฐฯอีกในปีหน้าด้วย

ที่มา: http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/727913 และ http://www.banmuang.co.th/news/economy/71396

Share This Post!

509 views

Newsletter Subscription

สนใจรับข่าวสารและกิจกรรมที่เป็นโอกาสของไทย
Email Address
Secure and Spam free...
Go to Top