คนอเมริกันกำลังบริโภคไก่เพิ่มมากขึ้น
การผลิตไก่ของสหรัฐฯ กำลังเติบโตมากที่สุดในรอบสิบปี บริษัทต่าง ๆ เช่น Tyson Foods, Sanderson Farms กำลังเป็นผู้นำของอุตสาหกรรมในการขยายโรงงานผลิตใหม่ ๆ ตั้งแต่ในรัฐ Tennessee ไปจนถึง Texas แม้กระทั่ง Costco ก็ยังเข้ามามีส่วนร่วมในเรื่องนี้ด้วยการลงทุน 300 ล้านสร้างโรงงานไก่แห่งแรกของบริษัทฯที่ รัฐ Nebraska ที่คาดว่าจะผลิต ไก่ได้เกือบ 100 ล้านตัวต่อปีสามารถป้อนสินค้าให้แก่หนึ่งในสี่ของร้าน Costco ทั้งหมดและลดค่าใช้จ่ายลง 10 – 35 เซ็นต์ ต่อไก่หนึ่งตัว
Sanderson Farms ประมาณการว่าในระหว่างปี 2562 (คศ 2019) ถึง 2564 (คศ 2021) อุตสาหกรรมการผลิต ไก่ของสหรัฐฯ จะขยายตัวในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี และอาจนำไปสู่การแข่งขันอย่างหนักเพื่อแย่งส่วนแบ่งในตลาดและก่อความเสี่ยงต่อราคาที่เป็นไปในทางลดลง ดังนั้น การขยายโรงงานผลิตจำนวนมากจึงสร้างความวิตกกังวลให้แก่ตลาด ราคา หุ้นของ Tyson, Pilgrims’ Pride และ Sanderson ลดต่ำตั้งแต่กลางเดือนธันวาคม 2560 (คศ 2017)
กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ รายงานว่า อุปทานไก่แช่เยือกแข็งของสหรัฐฯ สูงที่สุดในรอบ 12 ปี และคาดการณ์ราคาไก่ที่อายุอยู่ในวัยรุ่นในปี 2560 (คศ 2018) ลดลงประมาณร้อยละ 3.2 เหลือเฉลี่ย 90.5 เซ็นต์ต่อปอนด์ ราคาที่ลดลง และค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจะทำให้รายได้ของเกษตรกรในประเทศจะลดต่ำที่สุดในรอบ 12 ปี
ปัจจุบันบริษัทผู้ผลิตไก่รายใหญ่ของสหรัฐฯ ได้แก่ Tyson Foods Inc., Pilgrim’s Pride Corporation และ Sanderson Farms Inc. มีผลผลิตรวมกันเกือบครึ่งหนึ่งของอุปทานไก่ในประเทศสหรัฐฯ
การเติบโตของการผลิตไก่ของสหรัฐฯ เป็นผลมาจาก
- ความต้องการบริโภคเพิ่มสูงขึ้น ในสองทศวรรษที่ผ่านมา ไก่เป็นเนื้อสัตว์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในสหรัฐฯ ข้อมูลของกระทรวงเกษตรสหรัฐฯแสดงให้เห็นการเติบโตอย่างมากของการบริโภคต่อคนต่อปี ที่ปัจจุบันเท่ากับ 4 ปอนด์ หรือ 42 กิโลกรัม สูงกว่าในปี 2555 (คศ 2012) ร้อยละ 15
- ธัญญพืชสำหรับเลี้ยงไก่มีราคาถูกทำให้ผู้ผลิตได้กำไร เพราะสามารถเลี้ยงไก่ได้ในจำนวนที่เพิ่มขึ้นได้ ไก่ตัวใหญ่ขึ้น การผลิตไก่เริ่มให้ผลกำไรที่ดีตั้งแต่ปี 2554 (คศ 2011) เมื่อราคาข้าวโพดและถั่วเหลืองตกต่ำที่เป็นผลมาจากการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น คาดว่าผลผลิตปีนี้จะเพิ่มขึ้นเกือบ 19 ล้านเมตริกตัน และส่วนใหญ่จะถูกนำไปเลี้ยงสัตว์ปีกขนาดใหญ่
- ผู้ผลิตหลาย ๆ รายไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการเพิ่มความสามารถในการผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดที่กำลังเพิ่มขึ้น หรือเพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภค เช่น Bell & Evans ผู้ผลิตไก่อินทรีย์ในรัฐ Pennsylvania กำลังสร้างโรงงานผลิตที่คาดว่าเมื่อเปิดทำการในปี 2563 (คศ 2020) และสามารถผลิตไก่อินทรีย์ได้ 6 ล้านตัวต่อสัปดาห์ เพื่อป้อนตลาดเช่น Whole Foods Market Inc. และ Amazon.com I
บทวิเคราะห์สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ นครลอสแอนเจลิส
อัตราการเติบโตต่อเนื่องของความนิยมบริโภคไก่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไก่ที่อายุอยู่ในวัยรุ่น อาจหมายถึงโอกาสของไก่นำเข้า แม้ว่าสหรัฐฯจะมีกฎระเบียบที่เข้มงวดเรื่องคุณสมบัติของไก่ที่ต้องการนำเข้าสหรัฐฯ และกลายเป็นข้อจำกัดห้ามการนำเข้าจากหลายประเทศรวมถึงจากประเทศไทย แต่เป็นที่ทราบกันดีว่าเหตุผลที่แท้จริงคือการปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ เนื่องจากสหรัฐฯ เป็นผู้เลี้ยง/ผู้ผลิตไก่รายใหญ่ที่สุดของโลกและเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่เป็นอันดับที่สองรองจากบราซิล อย่างไรก็ดี เมื่อเดือนพฤษภาคม 2560 (คศ 2017) สหรัฐฯยอมเปิดตลาดให้แก่ไก่ปรุงสุกแล้วนำเข้าจากจีนภายหลังการเจรจาต่อรองทางการค้าที่เป็นการแลกเปลี่ยนกับการเปิดตลาดจีนให้แก่สินค้า เนื้อวัวและแก๊สเหลวของสหรัฐฯ แม้ว่าจะมีกระแสต่อต้านจากหลายฝ่ายในสหรัฐฯที่ไม่เชื่อมั่นในความสะอาดและความปลอดภัยของไก่จีน การเปิดตลาดสหรัฐฯให้แก่ไก่จีนในครั้งนี้สามารถนำไปเป็นกรณีศึกษาในการหาหนทางเปิดตลาดสหรัฐฯ ให้แก่สินค้าไก่ของไทย และการทำงานร่วมกันระหว่างภาคเอกชนและหน่วยงานรัฐบาลไทยในการสร้างโรงเลี้ยงไก่และการผลิตไก่ที่เป็นไปตามกฎระเบียบของหน่วยงาน Food Safety Inspection Service กระทรวงเกษตรสหรัฐฯที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการตัดสินว่า สินค้าเนื้อสัตว์และเนื้อสัตว์ปีกจากประเทศใดสามารถผ่านเข้าสหรัฐฯ ได้
ที่มา: Taunton Daily Gazette.: “Can American eat more chicken? U.S industry bets on growth”. By Megan Durisin/Bloomberg , February 8, 2061
ขอขอบคุณข่าวจาก: สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครลอสแอนเจลิส