รู้จักกับกัญชง กัญชา และเทรนด์ตลาดในสหรัฐฯ

กัญชง-กัญชา

กัญชง-กัญชากลายเป็นเทรนด์ที่ได้รับความสนใจทั่วโลกรวมถึงในประเทศไทยและในสหรัฐอเมริกา หลายประเทศได้ปรับเปลี่ยนกฎหมายหรือออกกฎหมายใหม่ที่เกี่ยวข้องกับกัญชง-กัญชาเพื่อเปิดทางสู่การนำไปใช้เชิงพาณิชย์มากขึ้น กัญชงและกัญชาแตกต่างกันหรือไม่ ให้คุณหรือให้โทษอย่างไร และสหรัฐฯ มีพัฒนาการเรื่องนี้ไปถึงไหนบ้างแล้ว ลองมาหาคำตอบกัน

หลายคนอาจเคยได้ยินคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น แคนนาบิส (Cannabis) เฮมพ์ (Hemp) มาริฮวานา(Marijuana) หรือ ซีบีดี (CBD)  

แคนนาบิส (Cannabis) เป็นชื่อ “สกุล” (genus) ของพืชกัญชง-กัญชา สามสายพันธุ์ย่อย (species) ของแคนนาบิสที่พบบ่อย คือ Cannabis sativa, Cannabis indica และ Cannabis rudealis  สายพันธุ์ที่พบมากในไทยจะเป็นสายพันธุ์ Cannabis sativa ซึ่งสามารถเจริญเติบโตได้ดีในลักษณะอากาศแบบร้อนชื้น กัญชงและกัญชาจัดเป็นพืชที่อยู่ในสกุล Cannabis  เหมือนกัน แต่ต่างกันที่สายพันธุ์ย่อย กัญชงจัดอยู่ในกลุ่ม Cannabis sativa ในขณะที่กัญชาอาจอยู่ในกลุ่ม indica หรือ sativa ก็ได้

กัญชงในภาษาอังกฤษเรียกกันว่า “เฮมพ์” (Hemp) ส่วนกัญชาในภาษาอังกฤษคือคำว่า “มาริฮวานา” (Marijuana)

CBD เป็นตัวย่อที่ใช้เรียกสารแคนนาบินอยด์ (Cannabidiol) ซึ่งเป็นสารที่พบได้ทั้งในกัญชงและกัญชา นอกจากสาร CBD แล้ว พืชทั้ง 2 ชนิด มีสารที่เรียกว่าเตตราไฮโดรแคนนาบินอล (Tetrahydrocannabinol หรือ THC) อีกด้วย

เพราะเป็นพืชในสกุลเดียวกัน กัญชงและกัญชาจึงมีความคล้ายคลึงกันมากและอาจมองแยกออกจากกันได้ยาก โดยเฉพาะในช่วงที่ต้นกัญชงและกัญชายังเล็ก ดอกและเมล็ดมีสีสันและลวดลายแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย แต่พืชทั้งสองชนิดก็มีความแตกต่างที่สำคัญอยู่หลายประการ  

กัญชง กัญชา

ลักษณะทางกายภาพ

กัญชง (Hemp) โดยทั่วไปต้นมีลักษณะสูงใหญ่กว่าต้นกัญชา ลำต้นสูงประมาณ 2 เมตรขึ้นไป กิ่งกระจัดกระจายไม่เกาะกลุ่ม ใบของกัญชงจะมีขนาดใหญ่กว่า มีการเรียงสลับของใบค่อนข้างห่างชัดเจน ใบมีสีเขียวอมเหลือง ไม่มียางเหนียวติดมือ  กัญชงปลูกได้ง่ายในหลากหลายสภาพภูมิอากาศ ไม่ต้องดูแลมาก ระยะเวลาของการโตเต็มวัยประมาณ 108-120 วัน

กัญชา (Marijuana) มีลักษณะลำต้นสูงไม่ถึง 2 เมตร ต้นเตี้ย มีกิ่งเกาะกันเป็นพุ่ม ใบของกัญชาจะเล็กกว่าใบของกัญชงเล็กน้อย ใบมีลักษณะแคบ ยาว การเรียงตัวของใบจะชิดกัน โดยเฉพาะใบประดับช่อดอกจะเป็นกลุ่มแน่นชัดเจน มักมียางเหนียวติดมือ ใบมีสีเขียวจัด กัญชาเป็นพืชที่ต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิดและควรมีการควบคุมอุณหภูมิให้มีสภาพอุ่นและชื้น ระยะเวลาการโตเต็มวัยประมาณ 60-90 วัน

สารประกอบเคมี

สารประกอบเคมีในกัญชงและกัญชา 2 ชนิดที่โดดเด่นได้แก่ สาร Tetrahydrocannabinol (THC) และสาร Cannabidiol (CBD)

งานวิจัยหลายงานพบว่า สารทั้ง 2 ชนิดมีประโยชน์หากนำมาใช้ให้ถูกต้อง แต่สาร THC นั้นทำให้เกิดอาการเมา (high) หรือมีฤทธิ์ต่อประสาท (psychoactive) ด้วย ในเวทีสากลเป็นที่ยอมรับกันว่า พืชที่ให้ปริมาณสาร THC น้อยกว่า 0.3% ไม่ถือว่าเป็นพืชเสพติด  ในขณะที่สาร CBD ไม่ก่อให้เกิดอาการดังกล่าว

• สาร Tetrahydrocannabinol (THC)

กัญชง (Hemp) มีสาร THC ไม่เกิน 0.3% ซึ่งเป็นปริมาณที่ไม่สามารถทำให้ผู้บริโภคเกิดอาการเมาหรือมีฤทธิ์ต่อประสาท ในขณะที่ กัญชา (Marijuana) ส่วนใหญ่มีสาร THC ประมาณ 5-20% กัญชาที่คุณภาพสูงมีสาร THC สูงถึง 25-30% จึงทำให้กัญชามีฤทธิ์ต่อระบบประสาท ทำให้เกิดอาการเมา และถือเป็นสารเสพติด สาร THC ส่งผลต่อร่างกาย อาทิ

  • เปลี่ยนแปลงประสาทสัมผัส (การมองเห็น การได้กลิ่น การได้ยิน) เช่น เห็นสีสดขึ้น
  • เปลี่ยนแปลงการรับรู้ด้านเวลา
  • เปลี่ยนแปลงสภาพอารมณ์ให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย
  • ส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของร่างกาย
  • ทำให้เกิดความรู้สึกหิว
  • ก่อให้เกิดภาพหลอนหรือภาพลวงตาเมื่อใช้ในปริมาณมาก
  • เมื่อใช้เป็นระยะเวลานาน จะส่งผลต่อการทำลายระบบความจำ การคิด การเรียนรู้

อย่างไรก็ดี การศึกษาวิจัยทางการแพทย์พบว่า สาร THC อาจสามารถนำมาช่วยรักษาอาการและโรคต่าง ๆ เช่น ลดอาการข้างเคียงจากการทำเคมีบำบัด โรคปลอกหุ้มเส้นประสาทอักเสบ เพิ่มความอยากอาหารในผู้ป่วยมะเร็งและเอดส์ ลดอาการคลื่นไส้อาเจียน ลดอาการปวดแบบเรื้อรัง ช่วยในเรื่องระบบย่อยอาหาร ลดอาการบาดเจ็บที่กระดูกสันหลัง เป็นต้น

สาร Cannabidiol (CBD)

กัญชง (Hemp) มีสาร CBD ในปริมาณที่มากกว่า กัญชา (Marijuana) สาร CBD เป็นสารที่ไม่มีฤทธิ์ต่อประสาท นั้นหมายความว่าจะไม่ทำให้เกิดอาการมึนเมาได้

งานวิจัยในตอนนี้พบว่า สาร CBD อาจจะสามารถนำมาช่วยรักษาอาการและโรคต่าง ๆ อาทิ อาการปวดกล้ามเนื้อ การเคลื่อนไหวช้า การเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อลำบาก โรคไขข้ออักเสบ โรคลมชัก ลมบ้าหมู โรคปลอกหุ้มเส้นประสาทอักเสบ โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง โรคพาร์กินสัน ลดการอักเสบ สิว โรควัวบ้า ลดอาการซึมเศร้า ลดอาการวิตกกังวล ลดอาการสมาธิสั้น ลดอาการคลื่นไส้อาเจียน และโรคลำไส้แปรปรวน

เพราะกัญชงมีสาร THC ในปริมาณไม่มาก สารประกอบที่สกัดได้จากกัญชงจึงไม่ส่งผลกระทบต่อระบบประสาท สาร CBD ที่สกัดจากกัญชง (Hemp-derived CBD) จึงกลายเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ตั้งแต่น้ำมัน อาหาร เครื่องดื่ม ไปจนถึงเครื่องสำอาง และกำลังเป็นเทรนด์ที่ได้รับความนิยมทั่วโลก

กฎหมายและการนำมาใช้ประโยชน์ในสหรัฐอเมริกา

เนื่องจาก กัญชา (Marijuana) มีสาร THC ที่มีฤทธิ์ต่อระบบประสาทในปริมาณมาก ในปัจจุบัน รัฐบาลกลางของสหรัฐฯ จึงยังถือว่ากัญชาเป็นสิ่งเสพติดและผิดกฎหมาย อย่างไรก็ดี หลายฝ่ายเริ่มเล็งเห็นการใช้ประโยชน์จากกัญชาจากงานวิจัยที่มีมากขึ้น บางรัฐจึงถอดกัญชาออกจากรายชื่อยาเสพติด ในขณะที่บางรัฐอนุญาตให้สามารถนำกัญชาไปใช้ได้อย่างจำกัด กล่าวคือใช้เพื่อศึกษาวิจัยเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ และรักษาโรคภายใต้การควบคุมดูแล

ในส่วนของกัญชง (Hemp) กฎหมาย Farm Bill 2014  อนุญาตให้แต่ละรัฐสามารถทำการศึกษาวิจัยอุตสาหกรรมกัญชง (Industrial Hemp Pilot Research Programs) เพื่อหาข้อมูลให้มากขึ้น ผู้ปลูกจะต้องมีใบอนุญาตให้สามารถทำการปลูกได้ ต่อมา กฎหมาย Farm Bill 2018 ได้มอบอำนาจให้กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ (U.S. Department of Agriculture: USDA) เป็นผู้ดูแลควบคุมการปลูก สกัด และการกระทำอื่น ๆ ที่มาจากกัญชง แทนหน่วยงาน U.S. Drug Enforcement Administration (DEA) และถอดกัญชงออกจากรายการสารที่อยู่ภายใต้การควบคุมการใช้ตามกฎหมาย

ผู้ประกอบการในสหรัฐอเมริกา ได้นำกัญชง (Hemp) ไปใช้ประโยชน์อย่างหลากหลาย อาทิ

  • ต้นกัญชง ให้ปริมาณเส้นใยในปริมาณมากกว่าต้นกัญชาถึง 20% เส้นใยมีคุณภาพสูงและแข็งแรงมากกว่าฝ้ายถึง 2 เท่า จึงเหมาะที่จะแปรรูปเป็นเชือก เยื่อกระดาษ และเสื้อผ้า
  • เมล็ดกัญชง มีโปรตีนสูงมากกว่าโปรตีนจากถั่วเหลือง จึงมีการวิจัยเพื่อแปรรูปเมล็ดกัญชงเป็นผลิตภัณฑ์ทดแทนถั่วเหลือง นอกจากนี้ น้ำมันในเมล็ดกัญชงยังมีกรดไขมัน Omega-3 ซึ่งเป็นกรดไขมันชนิดเดียวกันกับที่พบในน้ำมันปลา

สหรัฐฯ มีการจัดแสดงสินค้ากัญชงโดยเฉพาะที่รัฐโคโลราโดเรียกว่างาน NoCo Hemp Expo โดยจัดขึ้นต่อเนื่องมาเป็นทุกปี ครั้งล่าสุดเป็นครั้งที่ 5 ซึ่งจัดไปเมื่อต้นเดือน เม.ย. 2562 ที่ผ่านมา งานแสดงสินค้า NoCo Hemp Expo มีตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่ทำจากกัญชงแทบจะทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าแฟชั่น สบู่ สครับ อาหาร รวมถึงการนำกัญชงไปผลิตเป็นบรรจุภัณฑ์

ผลิตภัณฑ์ที่มีสาร CBD (CBD-infused product)

ผลิตภัณฑ์ที่มีสาร CBD ซึ่งสกัดมาจากกัญชา (Marijuana-derived CBD) ส่วนใหญ่ยังผิดกฎหมายในหลายรัฐ เพราะกัญชาผิดกฎหมายในหลายรัฐเหล่านั้น การนำมาใช้จึงขึ้นอยู่กับกฎหมายแต่ละรัฐ เช่นอนุญาตให้ใช้ได้เพื่อการรักษาโรคภายใต้การดูแลควบคุมของแพทย์เท่านั้น

สำหรับกัญชงนั้น กฎหมาย Farm Bill 2018 ทำให้กัญชงถูกกฎหมายในระดับประเทศ ในตลาดสหรัฐอเมริกา จึงมีผลิตภัณฑ์ที่มีสาร CBD จากกัญชง (Hemp-derived CBD) ออกมาวางขายเป็นจำนวนมากทั้งทางออนไลน์และในร้านค้า อย่างไรก็ตาม รัฐไอดาโฮ รัฐเนแบรสกา และรัฐเซาท์ดาโคตา ยังเป็น 3 รัฐ ซึ่งมีข้อจำกัดและกฎเกณฑ์กำกับดูแลกัญชงอยู่อย่างมาก แม้ว่าจะเป็น CBD ที่สกัดมาจากกัญชงก็ตาม

เมื่อปลายปี 2561 องค์กรอาหารและยาของสหรัฐฯ (FDA) ได้ให้การรับรองยา Epidiolex สำหรับการรักษาโรคลมชัก ซึ่งเป็นการรับรองยาที่สกัดจาก CBD เป็นครั้งแรก แต่ FDA ยังไม่ได้ให้การรับรองอาหาร เครื่องดื่ม อาหารเสริม เครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ทำมาจากพืชแคนนาบิสหรือมีส่วนประกอบจากพืชแคนนาบิสเช่นสาร CBD

FDA กำลังอยู่ในกระบวนการออกกฎระเบียบเพื่อกำกับดูแลการใช้สาร CBD ไม่ว่าจะเป็นในด้านการผลิต ปริมาณสารที่ใช้ การทำฉลาก รวมไปถึงการทำการตลาด โฆษณา เนื่องจากในปัจจุบัน มีผู้ประกอบการทำการตลาดที่อาจอวดอ้างสรรพคุณของสาร CBD เกินจริง เช่น ใช้รักษาโรคมะเร็ง ใช้รักษาโรคอัลไซเมอร์ เป็นต้น ในบางรัฐอย่างรัฐเมน รัฐโอไฮโอ และรัฐนิวยอร์ก เริ่มมีการสั่งห้ามร้านค้าและร้านอาหารขายอาหาร เครื่องดื่ม ที่มีสาร CBD ซึ่งผู้ประกอบการและสมาคมที่เกี่ยวข้องต่างเรียกร้องให้ FDA ออกกฎระเบียบที่ชัดเจนออกมาโดยเร็วที่สุด

สาร CBD ในกัญชงไม่ได้ถูกนำไปใช้เพียงแค่ในบริษัทเล็กในสหรัฐอเมริกา เท่านั้น ห้างดังอย่าง Barneys ได้เปิดตัวร้านหรูชื่อ The High End ที่ผลิตภัณฑ์ในร้านทุกอย่างทำจากแคนนาบิสไปเมื่อไม่นานมานี้ในเมืองเบเวอร์รี่ ฮิลส์ รัฐแคลิฟอร์เนีย และเมื่อเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา ร้านเบอร์เกอร์ชื่อดัง Carl’s Jr. ก็ได้ทดลองขายเบอร์เกอร์ที่มีส่วนผสมของแคนนาบิสที่สาขาหนึ่งในเมืองเดนเวอร์ รัฐโคโลราโด

Photo source: Carl’s Jr. Facebook

นอกจากนี้ มีรายงานข่าวว่า บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Coca-Cola ได้พูดคุยกับบริษัท Aurora Cannabis ในแคนาดา ในการผลิตเครื่องดื่มที่มีส่วนผสม CBD  และร้านกาแฟ Starbucks ก็อาจทำเมนูเครื่องดื่ม CBD มาขายในร้านเช่นเดียวกัน ขณะที่บริษัท Mondelez ผู้ผลิตคุกกี้ชื่อดัง Oreo และ Chips Ahoy ก็กำลังอยู่ในช่วงทำการศึกษาทดลอง เพื่อตัดสินใจว่าจะขายผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสาร CBD หรือไม่ ดูเหมือนว่า สาร CBD จากกัญชงมีแนวโน้มจะแพร่หลายแทรกซึมในผลิตภัณฑ์หลากหลายรูปแบบในตลาดสหรัฐอเมริกา และไม่ได้เป็นเพียงแค่กระแสช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น

33,530 views

Newsletter Subscription

สนใจรับข่าวสารและกิจกรรมที่เป็นโอกาสของไทย
Email Address
Secure and Spam free...
Go to Top