ประธานาธิบดีโจ ไบเดน วางแผนที่จะรื้อฟื้นโครงการสำหรับผู้ย้ายถิ่นฐาน ที่อนุญาตให้ผู้ประกอบการต่างชาติสามารถย้ายมาอาศัยและทำงานในสหรัฐฯ ได้อย่างถูกกฎหมาย
กฎ International Entrepreneur ซึ่งถูกเสนอโดยฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีโอบามา 3 วันก่อนที่เขาจะออกจากตำแหน่งในปี 2560 อนุญาตให้ผู้ประกอบการชาวต่างชาติทำงานในประเทศได้นานถึง 5 ปี ตราบใดที่บริษัทสตาร์ทอัพของพวกเขาสามารถระดมเงินทุนในสหรัฐฯ ได้อย่างน้อย 250,000 ดอลลาร์สหรัฐ และมีการว่าจ้างพนักงาน 10 คน หรือเข้าข่ายตามเกณฑ์มาตรฐานอื่น ๆ
อย่างไรก็ดี ในช่วงการบริหารของประธานาธิบดีทรัมป์ ได้มีสัญญาณว่า อาจจะมีการยกเลิกโครงการดังกล่าว
ผู้ประกอบการและบริษัทร่วมทุนจึงค่อย ๆ ลดความนิยมลง เพราะเกรงว่า ใบสมัครผู้ยื่นขอสิทธิ์ผ่านโครงการนี้อาจไม่ได้รับอนุมัติ
รัฐบาลประธานาธิบดีไบเดนจึงมีแผนที่จะรื้อฟื้นและส่งเสริมโครงการนี้อีกครั้ง โดยได้รับการสนับสนุนจากบริษัท venture-capital หลายแห่ง
“ผู้ที่ย้ายถิ่นฐานมาอยู่ในสหรัฐฯ เป็นผู้ประกอบการที่ทำงานหนัก และมีความคิดสร้างสรรค์มายาวนาน และการมีส่วนร่วมของพวกเขาต่อประเทศนี้มีคุณค่าอย่างเหลือเชื่อ” เทรซี่ เรนาด รักษาการ ผู้อำนวยการ U.S. Citizenship and Immigration Services (USCIS) หรือสำนักงานบริการด้านสัญชาติและตรวจคนเข้าเมืองของสหรัฐฯ กล่าว
อย่างไรก็ดี ขณะนี้สหรัฐฯ ไม่มีการออกวีซ่าสำหรับเจ้าของธุรกิจสตาร์ทอัพ แม้ว่าแนวคิดนี้จะได้รับการสนับสนุนจากทั้งฝ่ายเดโมแครตและรีพลับลิกันในวงกว้างก็ตาม โดยผู้ประกอบการชาวต่างชาติต้องใช้วีซ่าประเภทอื่น
เจ้าหน้าที่ของ USCIS ซึ่งดำเนินโครงการกล่าวว่า ระหว่างปี 2560 ถึง 2562 พวกเขาได้รับใบสมัครเพียง 30 รายเท่านั้น และมีเพียงหนึ่งรายที่ได้รับการอนุมัติ
USCIS ประเมินว่า หากโครงการดังกล่าวมีการดำเนินการอย่างถูกต้อง ผู้ประกอบการต่างชาติประมาณ 3,000 รายต่อไป จะมีคุณสมบัติในการทำงาน ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างงานประมาณ 100,000 ตำแหน่งในช่วงอีก 10 ปีข้างหน้า
National Venture Capital Association ซึ่งเป็นองค์กรที่สนับสนุนภาคอุตสาหกรรมและเป็นหนึ่งในหลาย ๆ กลุ่มที่ส่งจดหมายถึง อเลฮานโดร มายอร์คาส รัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิสหรัฐฯ เรียกร้องให้เขารื้อฟื้นโครงการนี้ และชื่นชมต่อการตัดสินใจของเขา
“ด้วยการใช้กฎ International Entrepreneur รัฐบาลกำลังปลดล็อกเครื่องมือการสร้างงานที่น่าทึ่ง ซึ่งจะช่วยให้สหรัฐฯ ยังคงเป็นผู้นำระดับโลกในด้านนวัตกรรมต่อไปได้” บ็อบบี้ แฟรงคลิน ประธานและหัวหน้าผู้บริหารขององค์กรกล่าว
อ้างอิงข้อมูลจาก