ประเภทวีซ่าสหรัฐฯ สำหรับนักลงทุนต่างชาติในธุรกิจสตาร์ทอัพ

นักลงทุนต่างชาติที่ต้องการย้ายถิ่นฐานไปยังสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะผู้ที่คิดจะเริ่มต้นธุรกิจใหม่ อาจเริ่มต้นด้วยการค้นหาว่า มีทางเลือกใดบ้างเปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติไปลงทุนได้ และบ่อยครั้งที่นักลงทุนมักจะได้ยินเกี่ยวโครงการย้ายถิ่นฐานภายใต้โครงการ EB-5 ที่สามารถเป็นหนทางนำไปสู่การได้รับกรีนการ์ดหรือเป็นผู้มีถิ่นพำนักถาวรในสหรัฐฯ

สำหรับหลาย ๆ คน วีซ่า EB-5 คือตัวเลือกยอดนิยมในการย้ายถิ่นฐานของนักลงทุน แต่การลงทุนขั้นต่ำที่ 900,000 ดอลลาร์สหรัฐนั้น อาจเป็นเงินที่มากเกินไป หลายคนจึงหันไปหาทางเลือกอื่น ๆ และพบว่าการขอวีซ่าทำงานประเภท L-1 และ E-2 ก็มีความเป็นไปได้เช่นเดียวกัน

วีซ่าทำงานประเภท L-1 และ E-2 สามารถใช้สำหรับการเริ่มต้นธุรกิจสตาร์ทอัพใหม่ในสหรัฐฯ โดยนักลงทุนไม่ต้องลงทุนด้วยวงเงินที่สูงเมื่อเทียบกับโปรแกรม EB-5 แต่นักลงทุนสามารถใช้รับเงินลงทุนเพียง 100,000 ดอลลาร์สหรัฐหรือน้อยกว่านั้น ขึ้นอยู่กับธุรกิจที่เสนอ

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนต้องทราบก่อนว่า วีซ่าทำงานประเภท L-1 และ E-2  แตกต่างกับโปรแกรม EB-5 ที่นำไปสู่การได้กรีนการ์ด เพราะวีซ่า L-1 และ E-2 เป็นเพียงแค่วีซ่าทำงานและไม่ส่งผลต่อสถานะการย้ายถิ่นถาวร ดังนั้นนักลงทุนควรศึกษาถึงคุณสมบัติที่แตกต่างของตัวเลือกเหล่านี้อย่างรอบคอบ เพื่อพิจารณาว่าตัวเลือกใดเหมาะสมที่สุดสำหรับธุรกิจของแต่ละบุคคล

วีซ่าทำงานประเภท L-1

เพื่อให้เข้าใจถึงวีซ่า L-1 ได้ดีที่สุด อาจลองนึกถึงการที่บริษัทโตโยต้าโอนย้ายผู้จัดการหรือผู้บริหารจากญี่ปุ่นไปสหรัฐฯ เพื่อจัดการโรงงานผลิตรถยนต์ นี่คือการโอนวีซ่าทำงานแบบ L-1 ระหว่างองค์กรในรูปแบบที่พบบ่อยที่สุดในสหรัฐฯ โดยมีข้อกำหนดคือ ผู้จัดการหรือผู้บริหารต้องทำงานให้กับบริษัทในเครือที่ตั้งอยู่ในประเทศนั้น ๆ มาแล้วเป็นเวลาอย่างน้อย 1 ปีในช่วง 3 ปีก่อนการขอวีซ่าเพื่อโอนย้ายไปทำงานในสหรัฐฯ ก่อนที่จะเข้ามาบริหารบริษัทสาขาในสหรัฐฯ นอกจากนี้ วีซ่า L-1 ยังสามารถใช้สำหรับบริษัทสตาร์ทอัพสัญชาติอเมริกัน

สิ่งที่สำคัญที่สุดเกี่ยวกับวีซ่าประเภทนี้ก็คือ ผู้สมัครจากประเทศใด ๆ ในโลกก็มีคุณสมบัติที่จะเดินทางมาที่สหรัฐฯ ได้ ตราบใดที่พวกเขาเป็นผู้จัดการหรือผู้บริหารในประเทศบ้านเกิดของตน และการมีประวัติที่น่าเชื่อถือ เช่น ธุรกิจมีอายุหลายปี มีพนักงานอย่างน้อยห้าคน มีเอกสารแสดงภาษีเงินได้ และมีผลตอบแทนการจ้างงานเป็นเวลาหลายปี แม้ว่าจะไม่ใช่ข้อกำหนดที่จำเป็นตามกฎหมาย แต่สิ่งเหล่านี้ย่อมจะช่วยสนับสนุนให้การยื่นขอวีซ่าประสบความสำเร็จได้ง่ายขึ้น

วีซ่าทำงาน L-1 มีระยะเวลาสูงสุด 7 ปีสำหรับผู้จัดการและผู้บริหาร กระบวนการนี้เริ่มต้นด้วยการยื่นคำร้องต่อ U.S. Citizenship and Immigration Service (USCIS) ในสหรัฐฯ การพิจารณาอนุมัติวีซ่าจะเกี่ยวข้องกับการตรวจสอบประวัติองค์กรและการเงินของทั้งบริษัทในเครือต่างประเทศ รวมถึงบริษัทในสหรัฐฯ หรือในกรณีของบริษัทสตาร์ทอัพ ต้องมีแผนธุรกิจสำหรับบริษัทในสหรัฐฯ แนบมาด้วย และการมีสำนักงานที่จะดำเนินธุรกิจอยู่เป็นหลักแหล่งในสหรัฐฯ ก็จะเป็นข้อได้เปรียบด้วยเช่นเดียวกัน

เมื่อคำร้องได้รับการอนุมัติ ผู้จัดการหรือผู้บริหารชาวต่างชาติจะต้องยื่นขอวีซ่าที่สถานเอกอัครราชทูตหรือสถานกงสุลของสหรัฐฯ ในประเทศต้นทาง ก่อนที่จะเดินทางเข้าสหรัฐฯ โดยหลังจากดำเนินธุรกิจประมาณหนึ่งปีในสหรัฐฯ และประสบความสำเร็จ ผู้สมัครสามารถยื่นขอกรีนการ์ดได้

วีซ่าประเภท E-2

 ในทางกลับกัน สำหรับวีซ่าประเภท E-2 นักลงทุนจะต้องเป็นพลเมืองของประเทศที่มีสนธิสัญญาการลงทุนกับสหรัฐฯ โดยปกติแล้ววีซ่าจะออกให้กับผู้จัดการผู้บริหารหรือนักลงทุนในช่วงเริ่มต้นเป็นเวลา 5 ปีและสามารถต่ออายุได้โดยไม่มีกำหนด ดังที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้วีซ่า L-1 เกี่ยวข้องกับการทบทวนประวัติธุรกิจของนักลงทุนในอดีต แต่วีซ่า E-2 เป็นข้อมูลเกี่ยวกับอนาคตของนักลงทุนโดยส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับแผนธุรกิจหรือการซื้อธุรกิจ ผู้สมัครทุกคนจะต้องสมัครผ่านสถานเอกอัครราชทูตหรือสถานกงสุลสหรัฐฯ เพื่อขอวีซ่า

แนวทางเพิ่มเติม

โครงการ The International Entrepreneur (ผู้ประกอบการระหว่างประเทศ) ให้อำนาจแก่กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ (U.S. Department of Homeland Security) ในการอนุญาตให้ผู้ประกอบการชาวต่างชาติที่สามารถแสดงให้เห็นว่า การพำนักอยู่ในสหรัฐฯ มีประโยชน์ต่อสาธารณะอย่างมากสำหรับภาคธุรกิจและก่อให้เกิดการสร้างงาน สามารถพำนักในสหรัฐฯ ได้เป็นรายกรณีไป และสามารถอนุญาตให้ผู้ประกอบการเข้ามาพำนักได้ไม่เกินสามรายต่อหนึ่งบริษัทสตาร์ทอัพ

ผู้ประกอบการที่ได้รับอนุญาตจะมีสิทธิทำงานในธุรกิจสตาร์ทอัพของตนเท่านั้น โครงการนี้อาจดีที่สุดสำหรับนักลงทุนที่มีประวัติการลงทุนที่ประสบความสำเร็จ ที่ไม่มีโอกาสในการขอวีซ่า L-1 หรือ E-2 แต่ปัจจุบัน โครงการนี้ก็ยังไม่ได้รับความนิยมมากนัก

ในแต่ละกรณีที่กล่าวมา ครอบครัวของนักลงทุนสามารถเข้ามาพำนักในสหรัฐฯ กับนักลงทุนและได้รับสถานะเดียวกัน โดยพวกเขาต้องไม่มีประวัติอาชญากรรม และโดยทั่วไปแล้ว ผู้สมัครขอวีซ่าจะได้รับอนุมัติเนื่องจากเหตุผลหนึ่งในสามประการคือ มีการลงทุนจำนวนมาก มีการนำนวัตกรรมเข้ามาในประเทศ หรือมีส่วนร่วมในการสร้างงานใหม่สำหรับชาวอเมริกัน

อ้างอิงข้อมูลจาก

 https://www.forbes.com/sites/andyjsemotiuk/2021/05/21/the-best-us-immigration-visa-for-foreign-investors-involving-start-ups/?sh=343532c8741e

1,393 views

Newsletter Subscription

สนใจรับข่าวสารและกิจกรรมที่เป็นโอกาสของไทย
Email Address
Secure and Spam free...
Go to Top