การได้ก้าวเข้ามาเป็นเจ้าของธุรกิจ หรือเพียงได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของวงการแฟชั่นในมหานครนิวยอร์ก นับว่าเป็นอีกหนึ่งความใฝ่ฝันอันสูงสุดของใครหลายคน ที่จะได้มีโอกาสเฉิดฉายอยู่ในวงการ และได้ก้าวเดินไปบนเส้นทางสายแฟชั่น ได้เห็นผลงานของตนเองปรากฏต่อสายตาสาธารณชน ได้รับคำชมเชยจากคนที่รักและชื่นชมในงานของพวกเขาอย่างแท้จริง
คุณเตชินทร์ ไกรขจรกิตติ อายุ 34 เจ้าของแบรนด์ “TECHIN” ห้องเสื้อสุดหรูในมหานิวยอร์ก บอกเล่าประสบการณ์ผ่านศูนย์ข้อมูลเพื่อธุรกิจไทยในสหรัฐฯ และขอให้คนที่ต้องการจะเดินทางสายแฟชั่นทุกคนจง “มั่นใจในตัวเองและอย่ากลัวที่จะผิดพลาด” คุณเตชินทร์รู้ตัวว่าชอบทางด้านแฟชั่นตั้งแต่ยังเด็ก จากนั้นก็เริ่มศึกษาและลงมือทำในสิ่งที่ตนเองรัก สมัยที่ยังเรียนสาขาแฟชั่นในมหาวิทยาลัยที่เมืองไทย เขาส่งผลงานเข้าประกวดและกวาดรางวัลชนะเลิศมามากมาย ในระหว่างนั้นก่อนจบการศึกษา เขามีโอกาสเดินทางไปหาประสบการณ์ที่รัฐ Alabama ซึ่งหนึ่งในความฝัน ณ ตอนนั้นคือการได้ท่องเที่ยวในนิวยอร์ก และเมื่อได้กลับมาเที่ยวนิวยอร์กอีกครั้ง ก็ทำให้เขาหลงรักนิวยอร์กตั้งแต่วันนั้น
จุดเริ่มต้น
“เรามีงานที่ดียู่แล้ว แต่อยู่ดี ๆ เราก็ย้ายมานิวยอร์กมาฝึกงาน เป็นเด็กเสิร์ฟ part-time ทำทุกอย่าง และด้วยความคิดติส ๆ ของเรา เรามองว่าทุกอย่างมันมีเสน่ห์ของมัน ถ้าเกิดมันไม่ดีอย่างน้อยคือเราได้ลอง”
เขาเดินทางกลับประเทศไทยหลังจบโครงการเวิร์คแอนด์ทราเวล (Work & Travel – โครงการแลกเปลี่ยนโดยรัฐบาลสหรัฐฯ) เรียนจบก็ได้ทำงานกับแบรนด์แฟชั่นฝรั่งเศสที่มาทำธุรกิจที่เมืองไทย ในระหว่าง 2 ปีที่ทำงานตรงนั้น คุณเตชินทร์ก็มักจะพูดคุยกับเพื่อน ๆ และคนที่มีประสบการณ์ด้านแฟชั่นอยู่เสมอว่า เขาต้องกลับมานิวยอร์กอีกครั้งให้ได้ จากนั้นเขาก็ได้รับคำเชิญมาฝึกงานในวงการแฟชั่นนิวยอร์ก ซึ่งแน่นอนว่าเขาตอบลงในทันที
“เขาเป็นอาจารย์สอนแฟชั่นดีไซเนอร์ชื่อดัง อาชีพเสริมเป็นที่ปรึกษาให้แบรนด์ดัง ๆ และการที่ได้ทำงานกับเขา ผมเองจากนักออกแบบก็กลายมาเป็นที่ปรึกษาด้านแฟชั่น เพราะเราต้องไปดูเทรนด์แฟชั่นว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
“ทำกับเขาอยู่ 2 ปี ระหว่างนั้นก็ไปฝึกงานและทำงานกับแบรนด์ดัง ๆ ในนิวยอร์ก ตื่นเต้นมาก ทำในฐานะดีไซเนอร์ทั้งในส่วนของงานปักผู้หญิง และเสื้อผ้าผู้ชาย ในแบบที่ใส่แล้วดูเท่ห์ ดูหล่อ โดยที่ไม่ต้องพยายามมาก สไตล์นิวยอร์ก”
จนกระทั่งได้มีโอกาสเป็นผู้ช่วยส่วนตัวในการเลือกซื้อเสื้อผ้า เครื่องแต่งกายให้กับนักลงทุนทางการเงิน และกลายมาเป็นหุ้นส่วนธุรกิจในที่สุด
“ผมเริ่มคิดว่ามันยังไม่มีเสื้อผ้าที่สวย ๆ ให้ผู้ชายที่มีอายุหน่อย ทำให้เขาดูดี ดูไม่เครียด ภาษาแฟชั่นคือดูชิค รู้สึกว่าอยากนำเสนออะไรที่สวยงามให้โลกนี้ในแง่ของศิลปิน ตอนที่เริ่มคิดว่าเราเด็กมาก อายุแค่ 26 ฐานลูกค้าอายุ 45 ขึ้นไป แต่เราจะมีความคิดที่ไม่ค่อยเหมือนใคร แรงบันดาลใจคืออยากทำให้ผู้ชายที่มีอายุดูดีดูภูมิฐานในแบบของเขา”
จากสายแฟชั่นสู่สายงานที่เน้นความเนี้ยบของเนื้อผ้าและการตัดเย็บ จุดเริ่มต้นของแบรนด์ “เตชินทร์” คือ การเดินทางไปกลับอิตาลีนิวยอร์กกว่า 2 ปี เพื่อศึกษาหาข้อมูลและเลือกสรรเนื้อผ้าที่เรียกว่า “ดีที่สุดในโลก” ก่อนจะตัดสินใจเปิด “Techin” flagship store ในย่านธุรกิจที่เต็มไปด้วยนักธุรกิจและคนวัยทำงานที่รักในศิลปะ และยังรักในการแต่งตัวให้ดูดีในแบบของตัวเอง
“ออกแบบร้านเองหมด เสื้อผ้าของเราส่วนใหญ่ 70% Made in New York เราใช้คุณภาพของผ้าที่ดีกว่าแบรนด์ดัง ๆ จากการที่ได้ไปคุยกับคนอิตาลี เราได้ข้อมูลมาเยอะมาก เราก็ได้เรียนรู้จากคนที่ทำงานในระดับ luxury เป้าหมายของผมคือการทำเสื้อผ้าที่หรูที่สุดในโลก”
เสื้อตัวแรกที่ออกแบบเป็นเสื้อยืดสุดหรู จากไอเดียสุดเจ๋งด้วยการใช้ผ้าตัดสูทของผู้ชาย แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะแบรนด์ใช้เวลาเกือบ 2 ปีในการพัฒนาเสื้อยืดสุดหรูจนสำเร็จ และนำไปจดลิขสิทธิ์เป็นที่เรียบร้อย
“ตอนนั้นมันอยู่ในจุดที่พร้อมโชว์ให้โลกเห็นแล้ว เราต้องเปิดร้าน ซึ่งปกติดีไซเนอร์ใหม่ ๆ เขาจะไม่เปิดร้านเอง เพราะมันจะปวดหัวมาก เขาจะพยายามฝากขายให้ห้างดัง ๆ แต่ผมไม่คิดแบบนั้น เพราะเสื้อผ้าเรานิ่งมาก ถ้าเราไปวางขายคู่กับแบรนด์อื่น ๆ คนจะไม่เห็นคุณค่า ร้านเราไม่ต้องใหญ่ แต่เดินเข้ามาข้างในมันต้องเป็นโลกของเตชินทร์”
“ความเจ๋งของเราคือไปเอาผ้ามาจากอิตาลีแต่มาตัดเย็บในนิวยอร์ก เรามีความเป็นนิวยอร์ก อิตาลี และฝรั่งเศส ซึ่งตอนนี้ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นแฟชั่นมาก เราเป็นนักออกแบบมากกว่า”
แต่ประสบการณ์การทำงานในต่างประเทศของเจ้าของแบรนด์ “เตชินทร์” ไม่ได้สวยหรู เหมือนภาพความสำเร็จที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า เพราะเขาใช้เวลาหลายปีในการทำงานอย่างหนัก ไม่ว่าจะเป็นการฝึกงานpart-time ในวงการแฟชั่นที่เขารัก และทำงานในร้านอาหารหลาย ๆ ร้านในเวลาเดียวกัน
“บ้านผมไม่ได้เป็นคนมีเงิน ผมต้องทำงานร้านอาหารส่งตัวเอง คนไม่รู้ว่าก่อนที่เราจะมีร้าน เราล้มลุกคลุกคลาน แต่เราไม่มานั่งบ่น เป็นคนไม่คิดลบและไม่ให้ความคิดลบมาทำร้าย คุณจะเห็นว่าคนดัง ๆ หลายคนผ่านงานร้านอาหารมาแล้วทั้งนั้น แต่ที่นี่เขาไม่ได้มานั่งดูถูกคน ก่อนที่คุณจะได้ทำในสิ่งที่คุณชอบ คุณอาจจะผ่านงานหลากหลายที่มันทำให้คุณเป็นคนที่ดีกว่า เพราะเมื่อคุณทำงานในหลาย ๆ แห่ง คุณก็จะเข้าใจคนมากขึ้น ผมก็มีท้อหลายครั้ง จะกลับไทยหลายหน”
“มันยากที่จะหาคนมาลงแรง มาเห็นว่าสิ่งที่คุณทำมันเป็นสิ่งที่เขาควรจะมาเสียเวลากับคุณ เรามีความหยิ่งทะนงในตัวเอง เราไม่ได้แค่จะทำเสื้อผ้าเล่น ๆ”
เป้าหมาย และ ความสำเร็จ
เป้าหมายในวันนี้คืออยากจะเก็บพลัง สัญชาตญาณ และคุณภาพตรงนี้เอาไว้ พร้อมไปกับการศึกษาและเรียนรู้ที่ไม่หยุดนิ่ง เพื่อที่จะได้ลองทำในสิ่งใหม่ ๆ ตามที่ใจต้องการ พร้อมไปกับแบรนด์ที่ยังคงเดินได้อย่างดีต่อไปเรื่อย ๆ
“เป้าหมายของผมคือมองว่าอยากให้คนที่ชอบเสื้อผ้านิ่ง ๆ สไตล์หรู เห็นงานของเราแล้วเขาเข้าใจ สำหรับคนที่อยู่ในแฟชั่น คนที่เคยเห็นเสื้อผ้าดี ๆ มาทั่วโลกแล้วเขามาเห็นของเราแล้วเขาคำนับเรานั่นคือความสำเร็จ คนแฟชั่นระดับโลกมาเห็นของเราแล้วมาถามว่าใครเป็นดีไซเนอร์ อยากรู้จักเรา คือเรามีความสุข เราอาจจะไม่ดังในกลุ่มเด็ก แต่คนวงในของแฟชั่นรู้จักเรา อันนั้นคือเป้าหมายที่เราทำได้สำเร็จแล้ว”
เป้าหมายต่อไปในอนาคตของแบรนด์”เตชินทร์”
“สิ่งที่ทำตอนนี้คือมันจะไปนิ่ง ๆ เสื้อผ้าเรียบ ๆ เป็นลูกค้ากลุ่มเล็ก ๆ ที่จะพูดปากต่อปาก เรายังเด็ก เรายังอยากสนุก เรามีโอกาสได้แต่งตัวให้กับนักแสดงชื่อดังของฮอลลีวูดเป็นคนที่คนในวงการนับถือ นั่นคือความสำเร็จขั้นหนึ่งแล้ว”
“อยากให้แบรนด์เตชินทร์ ไม่ใช่เป็นที่รู้จักแค่ในนิวยอร์ก อยากให้เป็นที่รู้จักของคนทุกวัย ตั้งแต่เด็กอายุ 13 ถึงผู้ใหญ่อายุ 60 ไปจนถึง 80 ปี สิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้ก็คือขยายฐานลูกค้า ตั้งแต่เสื้อไปทะเลที่ออกแนวเซ็กซี่ ไปจนถึงเสื้อผ้าที่หรูหรามาก ๆ เราจะเปิดให้ไลฟ์สไตล์มากขึ้น อยากให้เป็นที่รู้จักในเอเชีย ยุโรป อเมริกา อยากให้ทุกคนสามารถซื้อเสื้อเตชินทร์ได้ แต่เรายังจะให้ดีไซน์เป็นอันดับหนึ่ง นอกจากนี้เราตั้งเป้าที่จะสร้างและขยายทีม เพื่อส่งต่อความเป็นเตชินทร์ออกไป”
เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา คุณเตชินทร์บินกลับนิวยอร์กหลังกลับมาพักผ่อนที่กรุงเทพฯ เกือบปี และในระหว่างนั้นเขามีโอกาสได้พบปะคนใหม่ ๆ จนกลายมาเป็นทีมงานที่จะร่วมสร้างและขยายแบรนด์เตชินทร์ในรูปแบบที่ต่างออกไป
“อยากจะสร้างแบรนด์ที่เป็นแฟชั่นมาก ๆ เปรี้ยวมาก ๆ กลับไปสู่ความเป็นตัวเองก่อนที่จะมาเริ่มแบรนด์ ทุกอย่างจะเปลี่ยนใหม่หมด ถึงตอนนี้เรารู้สึกตื่นเต้นมาก เพราะมันดูไม่เป็นกลุ่มลูกค้าเก่าเลย แต่เรารู้สึกว่ามันเป็นความเสี่ยงที่ดีและเรามีทีมที่ดี”
“เดินตามหัวใจ ทำตัวเองให้เป็นธรรมชาติ มีความมั่นใจ”
คุณแม่คือผู้สนับสนุนที่ดีมาโดยตลอด เป็นผู้ที่คอยสั่งสอนให้เป็นตัวของตัวเอง แม้กระทั่งเวลาเดินก้มหน้า คุณแม่ก็จะเป็นคนบอกให้มั่นใจในตัวเอง
“อยากจะบอกว่าให้ทำตามหัวใจของตัวเอง ตามสัญชาติญาณของตัวเอง เมื่อเรามองกลับไป เราอาจจะเห็นว่าเราเรียนรู้จากคนนั้นคนนี้จากสิ่งต่าง ๆ แต่จริง ๆ แล้วทุกอย่างมันคือสัญชาตญาณ รู้ปุ๊บทำเลย อย่าคิดเยอะ ผมเกิดมาพร้อมความบ้าบิ่น ผมทำงานหนักมากกว่าจะมาถึงตรงนี้”
เคล็ดลับความสำเร็จ
“อย่ากลัวที่จะทำอะไรใหม่ ๆ อย่าอายแม้แต่เรื่องภาษา คนอยู่ที่นี่เป็นล้าน เขาไม่ได้กลับมาเจอคุณง่าย ๆ มาที่นี่อย่าลืมเป้าหมายของตัวเอง เรามาเพื่อเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อย่าคิดว่าฉันเพียงพอแล้ว เก่งแล้ว คุณมาไกลมาก เราต้องออกไปเจอคนใหม่ ๆ แต่เราอย่าลืมว่าเรามาจากไหน และจงภูมิใจกับตัวตนของตัวเอง”
“ทุกอย่างถ้าคุณเปิดใจมันเชื่อมกันหมด อย่าพยายามอยู่ในกล่องของตัวเอง อย่าปิดกั้นตัวเอง คุณเป็นดีไซเนอร์ คุณอาจจะอยากร้องเพลงด้วยก็ได้ ไม่มีอะไรผิด เราเป็นคนรุ่นใหม่ เราต้องตั้งคำถาม พยายามหาคนที่มีแนวคิดร่วมกับเราบ้าง ไม่เห็นด้วยกับเราบ้าง ต้องทดสอบตัวเองตลอดเวลา ถ้าคุณเป็นคนแปลก ๆ คุณก็เป็นไป ไม่ต้องกลัวว่าคนจะเกลียด ทุกคนมีคนเกลียดหมด สุดท้ายแล้วเป็นคนที่คุณอยากเป็น เราเป็นคนดีได้ แต่อย่าให้ใครมาเอาเปรียบ ถ้าเราเป็นเหยื่อเราต้องลุกขึ้นสู่เพื่อตัวเอง”
“พยายามแน่วแน่ในสิ่งต้องการ และอย่าเปลี่ยนตัวเองเพื่อตลาด เราสามารถปรับเปลี่ยนได้บ้าง แต่ต้องทำอย่างชาญฉลาด อย่าเปลี่ยนเยอะจนลืมความเป็นตัวเอง พยายามเตือนตัวเองว่าเราอยากทำอะไร เด็กเริ่มจากการประกวดเยอะ ๆ เพื่อบังคับให้คุณได้ลองทำอะไรที่ตัวเองไม่ถนัด เพราะมันจะมีโจทย์ที่แตกต่างกัน และเราต้องใส่ความเป็นตัวเองเข้าไป มันจะช่วยให้เราค้นหาตัวเองได้เร็วขึ้น ได้ลองทำอะไรหลาย ๆ อย่าง และเมื่อเรามองกลับไปเราก็จะมีทางเดินชีวิตของตัวเอง ยิ่งฝึกฝนมากเท่าไร มันก็จะดีสำหรับคุณมากเท่านั้น”
เว็บไซต์