สรุปเทรนด์ตลาดและธุรกิจปี 2565 ในสหรัฐฯ และแนวโน้มปี 2566

ความชอบและพฤติกรรมต่าง ๆ ของผู้บริโภคสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วแม้ภายในปีเดียว ทำให้ธุรกิจต้องปรับตัวอยู่เสมอ เทรนด์ที่ได้รับความนิยมในเดือนมกราคมอาจลดลงในช่วงกลางปี ​​และเทรนด์อื่น ๆ ที่เพิ่งเกิดขึ้นอาจเป็นเรื่องใหญ่ถัดไปเมื่อถึงช่วงเทศกาลวันหยุด

ดูเหมือนว่าในแต่ละปีจะมีเทรนด์ต่าง ๆ ที่ถูกพูดถึงกันอย่างมากในวงการธุรกิจและพฤติกรรมของผู้บริโภค เทรนด์บางอย่างที่เกิดขึ้นในปี 2565 อาจยังคงอยู่ในกระแสไปจนถึงปี 2566 แต่บางเทรนด์มีกระแสมาแล้วก็ไปอย่างรวดเร็ว ผู้บริโภคอย่างเรา ๆ ก็คาดหวังว่า ในปี 2566 อาจจะมีเทรนด์ใหม่ที่น่าสนใจเกิดขึ้นเหมือนในปีที่ผ่านมา

1.) สกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency)

Cryptocurrency เป็นเทรนด์ที่มาแรงมากตั้งช่วงปลายปี 2564 โดยในเดือนมกราคม 2565 Ethereum (ETH) มีมูลค่ามากกว่า 3,800 ดอลลาร์สหรัฐ และ Bitcoin (BTC) มีมูลค่าพุ่งขึ้นเกือบ 48,000 ดอลลาร์สหรัฐ ในขณะนั้น หากธุรกิจใดไม่เสนอโอกาสให้ผู้บริโภคชำระค่าสินค้าด้วยสกุลเงินดิจิทัลในร้านค้าอีคอมเมิร์ซ ก็อาจจะเสียโอกาสในการเพิ่มยอดขายได้ และบริษัทขนาดใหญ่หลาย ๆ แห่งยังยอมรับการชำระเงินด้วย Bitcoin

อย่างไรก็ดี สภาวะเศรษฐกิจที่ไม่สู้ดีและการต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในปี 2565 นั้นเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้มูลค่าของสกุลเงินดิจิทัลชั้นนำร่วงลงอย่างรวดเร็ว ในช่วงปลายปี Bitcoin มีมูลค่าลดลง 64% Ethereum ลดลง 66% และสกุลเงินดิจิทัลที่สำคัญตัวอื่น ๆ (Altcoins) ส่วนใหญ่ลดลงมากกว่า 90% ซึ่งถือว่าเป็นความเสี่ยงที่สูงมาก

แนวโน้มปี 2566

แนวโน้มของสกุลเงินดิจิทัลในปี 2566 ยังคงมีทีท่าไม่สู้ดีนัก มูลค่าของ Bitcoin ในช่วงสิ้นปี 2565 อยู่ที่ประมาณ 16,800 ดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจาก 19,500 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นช่วงก่อนเกิดวิกฤตการล่มสลายของ FTX ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มซื้อขาย crypto รายใหญ่ของโลก และผลสะท้อนจากการล้มละลายของ FTX มีแนวโน้มว่า มูลค่าของ  Bitcoin จะลดลงอีกมาก และสถาบันการเงินขนาดใหญ่หลายแห่งอาจถอยห่างจาก crypto ในระยะเวลาอันใกล้นี้ โดยวิกฤตการณ์และเรื่องอื้อฉาวของ FTX ก่อเกิดความเสียหายที่ขยายวงกว้างขึ้นในตลาด crypto ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่า จะทำให้มูลค่าของ Bitcoin ลดลงไปถึง 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2566

ในส่วนของสกุลเงินดิจิทัลอื่นๆ เช่น Ethereum (ETH) และ Altcoins มีแนวโน้มที่เห็นได้ชัดว่าจะตกต่ำตาม Bitcoin เนื่องจากสภาวะเงินเฟ้อและเศรษฐกิจที่ไม่ดีอย่างต่อเนื่องมาจากปี 2565 โดย Ethereum ยังไม่ได้รับประโยชน์ใด ๆ ในแง่ของมูลค่าจากการควบรวมกิจการแบบ Proof-of-stake ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อกันยายน 2565 และในส่วนของ Altcoins มีแนวโน้มจะลดลงต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่า Bitcoin และ Ethereum จะฟื้นตัวขึ้นมา

2.) แนวคิดเพื่อความยั่งยืน (Sustainability) เป็นที่นิยมมากขึ้น

ในยุคใหม่ของการบริโภคอย่างมีสติ ผู้บริโภคจำนวนมากกำลังเลือกแบรนด์ที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมากกว่าแบรนด์ที่ไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม Sustainability เป็นแนวคิดเพื่อความยั่งยืนที่เกิดขึ้นมาหลายปีแล้ว ปัจจุบันนี้ องค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนต่าง ๆ เริ่มให้ความสำคัญเกี่ยวกับแนวคิดนี้มากขึ้น รวมไปถึงการส่งเสริมปรับกลยุทธ์การทำธุรกิจและดำเนินงานในองค์กรให้สอดคล้องกับแนวคิดเพื่อความยั่งยืนอีกด้วย

นักลงทุนจำนวนมากให้ความสำคัญกับ Environmental, Social, and Governance (ESG) หรือ กระบวนการด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล เพื่อคัดกรองการลงทุน โดย ESG ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการวัดความยั่งยืน (Sustainability) และผลกระทบทางจริยธรรม (Ethical Impact) ของการลงทุนในธุรกิจหรือบริษัท

ESG มีบทบาทมากขึ้นในพอร์ตการลงทุนของนักลงทุน การสำรวจโดยบริษัท PwC พบว่าปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลอยู่ใน 5 อันดับแรกของความกังวลของนักลงทุนในการลงทุนต่าง ๆ โดย 49% อ้างถึงการกำกับดูแลธุรกิจหรือกิจการที่มีประสิทธิภาพ และ 44% อ้างถึงความจำเป็นในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ในขณะเดียวกัน Deutsche Bank พบว่า นักลงทุนมากกว่าครึ่ง (53%) มองว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่ส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุน ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 47% ในปี 2564

อย่างไรก็ดี การพิจารณา ESG เพื่อใช้เป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจ ควรเริ่มด้วยการวัดผลกระทบที่ธุรกิจต่าง ๆ มีต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม จากนั้นจึงค่อย ๆ ขยับไปสู่การเพิ่มความโปร่งใส การรายงาน และความรับผิดชอบที่ทุกธุรกิจควรมีต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ควรมีแผนการที่มีเป้าหมายและกรอบเวลาที่ชัดเจนว่าจะลดผลกระทบในเชิงลบใดและทำได้อย่างไร

นอกจากนี้ หากธุรกิจใดใช้ ESG เป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจและการลงทุน แผนการและการดำเนินงานต่าง ๆ ไม่ควรถูกใช้อยู่ภายในบริษัทเท่านั้น แต่ควรครอบคลุมห่วงโซ่อุปทานและผู้ผลิตต่าง ๆ (suppliers) ที่บริษัทนั้น ๆ ใช้บริการด้วย

แนวโน้มปี 2566

แม้จะยังมีการถกเถียงถึงความเหมาะสมในการใช้ ESG เป็นหนึ่งในกลยุทธ์การทำธุรกิจ เนื่องจากบางบริษัทกังวลว่า มาตรการหรือการวัดผล ESG จะเป็นการควบคุมมากเกินไปในแง่ของการทำธุรกิจ ในขณะที่นักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมบางรายก็กังวลว่า การพึ่งพาภาคเอกชน (ในการโปรโมต ESG) จะประสบความสำเร็จมากเพียงใด แต่การที่รัฐบาลสหรัฐฯ และหลายฝ่ายให้ความสำคัญกับความโปร่งใสในห่วงโซ่อุปทาน (supply chain transparency/accountability) มากขึ้น เราจะยังเห็นเทรนด์ของ ESG แนวคิดด้านความยั่งยืนต่อไปในปี 2566

3.) The Metaverse Meta ล้มเหลวจริงหรือ?

ในช่วงปี 2565 คงจะไม่มีใครไม่รู้จักคำว่า “Metaverse” หลังจากการรีแบรนด์ของ Facebook เป็น Meta เมื่อปลายปี 2564

แม้ว่า Mark Zuckerburg เคยกล่าวว่า การเปลี่ยนผ่านไปสู่ Metaverse จะใช้เวลาหลายปี แต่ในปี 2565 นี้ บริษัท Meta ได้พัฒนา Horizon Worlds ซึ่งเป็นเกมส์ออนไลน์ในโลกเสมือนจริง (metaverse) ซึ่งตั้งเป้าหมายที่จะให้เข้าถึงผู้ใช้งานประมาณ 500,000 รายต่อเดือนภายในสิ้นปี 2565 อย่างไรก็ดี ตามรายงานในช่วงตุลาคม 2565 ที่ผ่านมา มีตัวเลขผู้เข้าใช้งานจริงเพียง 280,000 ราย ส่วนใหญ่ไม่กลับมาเล่นอีกหลังจากเดือนแรก และฐานผู้ใช้ได้ลดลงอย่างต่อเนื่อง

ดูเหมือนว่า Meta กำลังอยู่ในสถานการณ์ที่อาจไม่ดีนัก ราคาหุ้นของบริษัทตกลงมากกว่า 70% ในเวลาน้อยกว่าหนึ่งปี โดยหุ้นร่วงลง 23% หลังจากที่บริษัทพลาดเป้าหมายรายได้ที่ตั้งไว้

ยิ่งกว่าไปกว่านั้น Meta หลุดจากบริษัทที่มีมูลค่าสูงสุด 20 อันดับแรกของสหรัฐฯ และ Mark Zuckerberg ประกาศเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2565 ว่า Meta จะเลิกจ้างพนักงานกว่า 11,000 คนหรือ 13% ของพนักงานทั้งหมดอีกด้วย

ผู้เชี่ยวชาญมองว่า การเปิดตัวของ Meta นั้น ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เนื่องมาจากบริษัทอาจยังไม่เข้าใจ Metaverse อย่างถ่องแท้ ซึ่งแตกต่างจากตอนที่ Apple เปิดตัว iPhone ครั้งแรก และส่วนที่เพิ่มความยากคือ Metaverse เป็นผลิตภัณฑ์ที่จับต้องไม่ได้

แนวโน้มปี 2566

ปี 2566 เป็นปีที่ยังคงต้องจับตามองต่อไปสำหรับ Meta โดยบริษัทยังมีแผนการลงทุนอีก 1.92 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐใน Metaverse และ Meta Platforms จะยังคงดำเนินต่อไป ซึ่งคาดว่า การลงทุนในแผนก Metaverse Reality Labs จะคิดเป็น 20% ของค่าใช้จ่ายโดยรวม

Andrew Bosworth ซึ่งเป็น CTO ของ Reality Labs ระบุว่า บริษัทวางแผนที่จะใช้จ่ายในปี 2566 โดยประมาณสำหรับแผนก Metaverse ให้เท่ากับในปี 2565 แม้จะมีรายงานผลขาดทุนจากการดำเนินงาน 9.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 ก็ตาม

4.) E-commerce เติบโตช้าลงแต่ยังคงเป็นที่นิยมของผู้บริโภค

การระบาดใหญ่ของโควิด-19 ในปี 2563 ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านธุรกิจ จากการชอปปิ้งที่ร้านค้ามาเป็นการชอปปิ้งแบบดิจิทัล ซึ่งมีในทุกรูปแบบตั้งแต่ร้านขายของชำไปจนถึงเสื้อผ้าและสินค้าอุปโภคบริโภคอื่น ๆ เนื่องจากธุรกิจจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อให้อยู่รอดจากผลกระทบของโรคระบาด

ในช่วงปีแรกของการแพร่ระบาดของโควิด-19 ยอดขาย e-commerce เพิ่มขึ้นเกือบ 9 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ และยังเป็นการเร่งการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ e-commerce ให้เร็วขึ้นแบบก้าวกระโดด โดยเราได้เห็นการที่ผู้บริโภครายใหม่จากทั่วโลกเข้าสู่ตลาด e-commerce เป็นครั้งแรกในทุกหมวดหมู่สินค้า

ในปี 2565 สถานการณ์แพร่ระบาดที่คลี่คลายลง ทำให้การเติบโตของธุรกิจ e-commerce ชะลอตัวลงไปบ้าง ประกอบกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจไม่สู้ดี และภาวะเงินเฟ้อที่ค่อนข้างรุนแรง บริษัท e-commerce ยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ อย่าง Amazon ก็ได้รับผลกระทบที่เกิดจากการชะลอตัวและการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค ซึ่งเมื่อต้นปี 2565 บริษัทได้ปิดและยกเลิกการเปิดศูนย์จัดส่งและจัดการสินค้า 28 แห่งในสหรัฐฯ และชะลอการเปิดอีก 15 แห่งเพื่อประหยัดต้นทุนด้านแรงงาน แต่อย่างไรก็ดี การขับเคลื่อนของตลาดไม่ได้หายไปไหน ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง

รายงานล่าสุดจาก The Census Bureau ของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ระบุว่ายอดขายค้าปลีกในตลาด e-commerce ในไตรมาสที่สามของปี 2565 คิดเป็น 14.8% ของยอดขายค้าปลีกทั้งหมดในสหรัฐฯ โดยเป็นการประเมินและคาดการณ์ยอดขายโดยที่ยังไม่มีการปรับปรุงราคา กล่าวคือใช้ตัวเลขที่มาจาก original costs ซึ่งนับเป็นมูลค่ารวม 251.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งลดลง 0.1% จากไตรมาสที่สองของปีเดียวกัน

แนวโน้มปี 2566

มีการคาดการณ์ว่า ในปี 2566 ผู้บริโภคกว่า 265 ล้านคนในสหรัฐฯ จะยังคงช้อปปิ้งออนไลน์ Michael Keenan จาก Shopify รายงานเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า “เมื่อ 2 ปีที่แล้ว มียอดขายเพียง 17.8% เท่านั้นที่เกิดจากการซื้อทางออนไลน์ และคาดว่าตัวเลขดังกล่าวจะสูงถึง 20.8% ในปี 2566 ซึ่งเป็นส่วนแบ่งตลาด e-commerce ที่เพิ่มขึ้น 2 จุด การเติบโตคาดว่าจะดำเนินต่อไปถึง 23% ภายในปี 2568 ซึ่งแปลว่าเพิ่มขึ้น 5.2 จุดเปอร์เซ็นต์ในเวลาเพียงห้าปี”

5.) สถานการณ์สภาวะเงินเฟ้อ

ปี 2565 เป็นปีที่หนักหน่วงสำหรับเศรษฐกิจสหรัฐฯ และชาวอเมริกัน ภาวะเงินเฟ้อส่งผลให้ข้าวของทุกอย่างแพงมากขึ้น กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง พฤติกรรมผู้บริโภคชาวอเมริกันเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง และในช่วงสิ้นปี 2565 ธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นอีกครั้งเพื่อต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อ โดยคณะกรรมการ Federal Open Market ที่เป็นผู้กำหนดอัตราดอกเบี้ย ได้ลงมติให้เพิ่มอัตราการกู้ยืมครึ่งจุดเปอร์เซ็นต์ ซึ่งอยู่ระหว่าง 4.25% ถึง 4.5% ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวเชิงนโยบายที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1980 และเป็นการบ่งชี้ว่าการต่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อยังไม่จบสิ้นอย่างแน่นอน

Core PCE Price Index เป็นหนึ่งในตัววัดสำคัญที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ใช้ในการวัดอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งหมายถึงดัชนีราคาค่าใช้จ่ายหลักเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล ใช้วัดราคาที่ประชาชนใช้จ่ายสำหรับการซื้อสินค้าและบริการภายในประเทศ โดยไม่รวมราคาอาหารและพลังงาน เนื่องจากราคาอาหารและพลังงานมักจะแกว่งขึ้นลงอย่างรวดเร็วและบ่อยกว่าราคาอื่นๆ

ปี 2565 ที่ผ่านมา Core PCE Index สูงกว่าเป้าหมายของธนาคารกลางสหรัฐฯ ซึ่งตั้งไว้เพียง 2% ตั้งแต่เดือนเมษายน 2564 โดย Core PCE Index ในเดือนมิถุนายน 2565 สูงถึง 7% แต่ลดลงมาอยู่ที่ 6% ในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม 5.1% ในเดือนกันยายน 5% ในเดือนตุลาคม และ 4.7% ในเดือนพฤศจิกายน

แนวโน้มปี 2566

ปี 2566 จะยังคงต้องเผชิญกับภาวะเงินเฟ้ออย่างต่อเนื่อง เจ้าของธุรกิจและผู้ที่มีส่วนร่วมในตลาดต่าง ๆ ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ น่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องในช่วงต้นปี 2566 และหยุดชั่วคราวในบางจุด แต่หลายฝ่ายหวังกันว่าในปี 2566 การขยายตัวของอัตราเงินเฟ้อจะยังคงลดลง ซึ่งน่าจะช่วยทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ ผ่อนคลายการต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อมากขึ้น

นอกจากนี้ นักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารกลางสหรัฐฯ คาดว่า Core PCE จะลดลงเหลือประมาณ 3.1% ในปี 2566 แม้ว่าการเข้าใกล้เป้าหมาย 2% ตามที่ตั้งเป้าไว้ อาจต้องใช้เวลาจนถึงปี 2568

Nanette Abuhoff Jacobson นักยุทธศาสตร์การลงทุนระดับโลกของ Hartford Funds คาดการณ์เช่นเดียวกันอีกว่า Core PCE จะเข้าใกล้ 3% ภายในสิ้นปี 2566 ซึ่งจะสอดคล้องกับการคาดการณ์ของธนาคารกลางสหรัฐฯ

อ้างอิง

https://www.allbusiness.com/small-business-trends-to-look-out-for-154223-1.html

https://www.bea.gov/data/personal-consumption-expenditures-price-index-excluding-food-and-energy

https://www.census.gov/retail/mrts/www/data/pdf/ec_current.pdf

https://www.cnbc.com/2022/12/14/fed-rate-decision-december-2022.html

https://www.forbes.com/advisor/investing/cryptocurrency/crypto-outlook-for-2023/

https://www.forbes.com/advisor/investing/inflation-outlook-2023/

https://www.forbes.com/sites/serenitygibbons/2022/12/22/3-e-commerce-trends-to-watch-in-2023/?sh=7a57e72d5575

https://www.linkedin.com/pulse/5-biggest-business-trends-2023-bernard-marr

https://money.com/inflation-2023-expert-predictions/

https://morningexpress.in/meta-in-2023-investments-in-the-metaverse-from-19-2-billion-dollars/

https://www.nasdaq.com/articles/what-investors-should-expect-for-esg-in-2023

https://news.northeastern.edu/2022/11/03/metaverse-failure/

https://www.shopify.com/plus/commerce-trends/ecommerce

https://www.sustainability.com/thinking/2022-sustainability-trends-report/

https://www.wsj.com/articles/e-commerce-warehouses-are-springing-leaks-11658483455

https://www.wsj.com/articles/meta-metaverse-horizon-worlds-zuckerberg-facebook-internal-documents-11665778961

 

 

650 views

Newsletter Subscription

สนใจรับข่าวสารและกิจกรรมที่เป็นโอกาสของไทย
Email Address
Secure and Spam free...
Go to Top