Government shutdown เป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาในสหรัฐฯ โดยภาวะดังกล่าวคือการที่รัฐบาลกลางสหรัฐฯ ต้องยุติการจ่ายงบประมาณให้กับหน่วยงานเป็นการชั่วคราว เนื่องจากสภาคองเกรสไม่สามารถผ่านร่างกฎหมายงบประมาณฉบับใหม่ได้ทันสิ้นปีงบประมาณในวันที่ 30 กันยายน จนเป็นเหตุให้หน่วยงานเหล่านั้นต้องปิดทำการหรือ ‘ชัตดาวน์’ เป็นการชั่วคราว จนกว่าจะได้รับการจัดสรรงบประมาณให้กลับมาเปิดดำเนินงานหรือให้บริการดังเดิม
อย่างไรก็ดี การชัตดาวน์มีข้อยกเว้นสำหรับบางหน่วยงานที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด โดยหากต้องปิดทำการแม้จะเป็นการชั่วคราว จะส่งผลกระทบต่อประชาชนอย่างใหญ่หลวง เช่น หน่วยงานด้านสาธารณสุขบางหน่วยงาน กองทัพ ตำรวจ พยากรณ์อากาศ บริการไปรษณีย์ และบริการขนส่งสาธารณะ เป็นต้น
โดยปกติแล้ว ฝ่ายนิติบัญญัติควรผ่านร่างกฎหมายงบประมาณ 12 ฉบับสำหรับการใช้จ่ายของหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ แต่กระบวนการนี้ใช้เวลานาน สภาคองเกรสจึงมักจะหันไปใช้วิธีการขยายเวลาชั่วคราว โดยการผ่านร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราว หรือ Continuing Resolutions (CR) เพื่อให้รัฐบาลยังสามารถทำงานต่อไปได้ อย่างไรก็ดี ในปีนี้ดูเหมือนว่า สภาคองเกรสจะยังไม่น่าผ่านร่างกฎหมาย CR ได้ภายในสัปดาห์นี้ และคาดว่าการชัดดาวน์จะเกิดขึ้นแน่นอน
Government shutdown เริ่มเมื่อใด และจะยืดเยื้อนานเท่าใด
การชัตดาวน์จะเริ่มต้นทันทีที่เข้าสู่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 เวลา 00.01 น. ซึ่งเป็นวันแรกของปีงบประมาณ และยังไม่ชัดเจนว่าการชัตดาวน์ในครั้งนี้จะเป็นระยะเวลานานเท่าใด ขึ้นอยู่กับการผ่านร่างกฎหมายงบประมาณของสภาคองเกรส ซึ่งการชัตดาวน์ครั้งสุดท้ายที่เกิดขึ้น คือปลายปี ค.ศ. 2018 ซึ่งทำให้หน่วยงานต้องปิดทำการกว่า 35 วัน นับเป็น การชัตดาวน์ที่ยาวนานที่สุดในประวัตศาสตร์สหรัฐฯ
ผลกระทบของการชัตดาวน์จะเกิดกับใครบ้าง
หากการชัตดาวน์เกิดขึ้น จะส่งผลต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลกลางหลายล้านคนที่จะถูกพักงานและไม่ได้รับค่าจ้างในช่วงเวลานั้น ๆ เหลือไว้เพียงตำแหน่งที่จำเป็นยิ่งยวด (Essential staff) แต่ส่วนมากจะได้รับเงินเดือนย้อนหลัง (Backpay) เมื่อเปิดทำการ และนอกเหนือจากข้าราชการและเจ้าพนักงานภาครัฐแล้ว การชัตดาวน์ยังอาจส่งผลกระทบในวงกว้างต่อประชาชนที่สมัครรับบริการต่าง ๆ จากภาครัฐ เช่น การทำหนังสือเดินทาง การขออนุญาตมีและใช้อาวุธปืน และการรับอาหารจากธนาคารอาหาร เป็นต้น
บางหน่วยงานที่ไม่มีความจำเป็นอย่างยิ่งยวด เช่น อุทยานและพิพิธภัณฑ์แห่งชาติจะต้องปิดทำการชั่วคราว ส่วนหน่วยงานที่มีความจำเป็นอาจมีชั่วโมงการทำงานที่สั้นลง ซึ่งอาจทำให้การบริการประชาชนมีความล่าช้ามากขึ้น
ผลกระทบของ Government shutdown ต่อเศรษฐกิจและการค้า การลงทุน
เศรษฐกิจการเงิน
การชัตดาวน์อาจกระทบต่อตลาดการเงิน โดย Goldman Sachs คาดการณ์ว่า การชัตดาวน์จะลดการเติบโตทางเศรษฐกิจลง 0.2% ต่อสัปดาห์ แต่จะกลับมาฟื้นตัวอีกครั้งหลังจากที่รัฐบาลกลับมาเปิดทำการใหม่ อย่างไรก็ดี ธนาคารกลางของสหรัฐฯ จะไม่ได้รับผลกระทบ
การคมนาคมขนส่ง
การบริการขนส่งสาธารณะส่วนมากจะไม่ได้รับผลกระทบ อย่างไรก็ดี ในกรุงวอชิงตัน สถานีรถไฟใต้ดินบางแห่งอาจต้องปิดชั่วคราว เนื่องจากมีผู้ใช้งานไม่มากพอ
ในส่วนการเดินทางทางอากาศ ตามแผนฉุกเฉินล่าสุด เจ้าหน้าที่ตรวจคัดกรองความปลอดภัยของสนามบินและพนักงานควบคุมการจราจรทางอากาศต้องทำงานในช่วงชัตดาวน์ แต่หากเจ้าหน้าที่เหล่านี้ขาดงานด้วยเหตุผลใด ๆ ก็อาจสร้างปัญหาใหญ่ได้ดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นในปี 2018 ที่สนามบินหลายแห่งต้องระงับการดำเนินงาน เนื่องจากเจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมการจราจรทางอากาศจำนวนมากขอลาป่วย และโดยที่จะไม่มีการการฝึกอบรมผู้ควบคุมการจราจรทางอากาศเพิ่มเติมในช่วงการชัตดาวน์ ก็จะยิ่งส่งผลกระทบต่อปัญหาการขาดแคลนแรงงาน
นอกจากนี้ การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานบางโครงการอาจต้องล่าช้า เนื่องจากการตรวจสอบและการขออนุญาตที่เกี่ยวกับมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมจะต้องหยุดชะงักในช่วงการชัตดาวน์เช่นกัน
การท่องเที่ยว (Tourism)
บริษัทเอกชนที่ทำธุรกิจกับรัฐบาลกลาง เช่น ผู้รับเหมาต่าง ๆ หรือผู้ให้บริการนำเที่ยวรอบอุทยานแห่งชาติ ย่อมได้รับผลกระทบจากการหยุดให้บริการ ในกรุงวอชิงตัน สถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งอาจต้องปิดทำการ เช่น National Zoo, National Gallery of Art และ พิพิธภัณฑ์ Smithsonian เป็นต้น โดยสมาคมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแห่งสหรัฐฯ เผยว่า ภาคการท่องเที่ยวในสหรัฐฯ อาจสูญเงินถึง 140 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อวันในช่วงการชัตดาวน์
ข้อมูลทางเศรษฐกิจ (Economic Data)
การชัตดาวน์จะส่งผลให้การรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่มีความสำคัญต่อผู้กำหนดนโยบายและนักลงทุนต้องถูกระงับ ซึ่งรวมถึงรายงานอัตราเงินเฟ้อ ข้อมูลการค้าปลีก และรายงานสถิติด้านแรงงาน ที่เดิมมีกำหนดเผยแพร่รายงานจำนวนผู้ว่างงานในวันที่ 6 ตุลาคม นี้
การเก็บภาษี (Tax Collection)
Internal Revenue Services (IRS) จะเปิดทำการตามปกติ เนื่องจากงบประมาณของหน่วยงานไม่มีวันหมดอายุ
ธุรกิจขนาดเล็ก (Small Business)
ผู้ประกอบการธุรกิจขนาดเล็กอาจประสบปัญหาในการขอเงินกู้ เนื่องจากองค์กร Small Business Administration (SBA) จะไม่สามารถออกเงินกู้ใหม่ได้ ยกเว้นเงินกู้สำหรับธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ และการที่เจ้าหน้าที่ภาครัฐไม่ได้รับค่าตอบแทนในช่วงการชัตดาวน์ย่อมจะส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมการใช้จ่าย ซึ่งอาจส่งผลให้ธุรกิจขนาดเล็กหลายรายต้องขาดรายได้ โดยเฉพาะในช่วงสภาวะเงินเฟ้อที่ราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้นมาก
การเกษตร (Agriculture)
การตรวจสอบมาตรฐานเนื้อสัตว์และไข่ และการประกันภัยพืชผลจะไม่ได้รับผลกระทบจากการชัตดาวน์ แต่ส่วนที่จะได้รับผลกระทบ ได้แก่ การให้บริการห้องแลบ ซึ่งอาจกระทบต่อความพยายามในการต่อสู้กับโรคในปศุสัตว์ โครงการให้เงินกู้ต่าง ๆ และโครงการค้นคว้าวิจัย อนุรักษ์ และพัฒนาชนบท
แรงงาน (Labor)
การตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัยในที่ทำงานจะถูกจำกัด และการสืบสวนและเจรจาไกล่เกลี่ยความขัดแย้งด้านแรงงานจะต้องหยุดพักในช่วงชัตดาวน์
การทำธุรกิจหรือลงทุนในสหรัฐฯ ในระยะนี้ย่อมได้รับผลกระทบจาก Government shutdown ไม่มากก็น้อย ทางศูนย์ฯ จะคอยติดตามข่าวสาร และนำมาอัพเดทให้ท่านผู้อ่านทราบเป็นระยะ และหวังอย่างยิ่งว่าการชัตดาวน์ในครั้งนี้จะไม่ยืดเยื้อและส่งผลกระทบน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
อ้างอิง
https://www.reuters.com/world/us/us-government-shutdown-what-closes-what-stays-open-2023-09-21/