ซีอีโอของแอร์บีแอนด์บี (Airbnb) มองอนาคตการท่องเที่ยววิถีใหม่ว่า จากการที่ผู้คนนิยมไปท่องเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของโลก จะเปลี่ยนเป็นการเดินทางเพื่อไปเยี่ยมเพื่อนฝูงและญาติมิตรและท่องเที่ยวตามเมืองรองพร้อมกันหลังจากที่ไม่ได้เจอกันมานานในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19
นานไบรอัน เชสกี้ ซีอีโอจาก Airbnb ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวรอยเตอร์เมื่อวันที่ 14 ม.ค.ว่า ที่ผ่านมาการท่องเที่ยวเชิงธุรกิจถือเป็นภาคการท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุด แต่ปัจจุบันกำลังได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการแพร่ระบาดของโควิด-19
โดยผู้เชี่ยวชาญในวงการการบินคาดการณ์ไว้ว่า การท่องเที่ยวเชิงธุรกิจจะลดลงไปถึง 1 ใน 3 จากที่เป็นอยู่ ซึ่งสิ่งที่เข้ามาทดแทนในส่วนนี้คือการประชุมงานผ่านทางออนไลน์ ส่วนตลาดหลักในอนาคตของการท่องเที่ยวจะเปลี่ยนเป็นการท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ
เชสกี้บอกกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า จากนี้ไป ผู้คนส่วนใหญ่ไม่ได้อยากไปเที่ยวสถานที่ยอดฮิตของโลกอีกแล้ว แต่สิ่งที่ผู้คนต้องการคือการท่องเที่ยวที่มีความหมาย โดยจะเป็นการท่องเที่ยวในพื้นที่เฉพาะ อย่างเช่นในสหรัฐอเมริกาตอนนี้ การท่องเที่ยวโดยรถยนต์กำลังมาแรง เนื่องจากผู้คนหลีกเลี่ยงการเดินทางโดยเครื่องบิน ในส่วนของสถานที่ท่องเที่ยวก็มีให้เลือกหลากหลาย
จากการสำรวจของ Airbnb พบว่า ชาวอเมริกันกว่า 54% จะเริ่มทริปแรกแห่งปี 2021 ด้วยการท่องเที่ยวเพื่อไปหาและพบปะคนสำคัญในชีวิต ไม่ใช่สถานที่ยอดฮิตระดับโลก
“ผู้คนไม่ได้อยากไปเที่ยวไทม์สแควร์มากไปกว่าการได้ออกไปเที่ยวหาเพื่อนหรือครอบครัวที่ไม่ได้เจอกันมาเป็นเวลานาน” เชสกี้กล่าว
เขากล่าวเสริมว่า การท่องเที่ยวแบบเดิมที่มีผู้คนมหาศาลเดินทางไปในสถานที่เดียวกัน จะเปลี่ยนไปสู่การท่องเที่ยวแบบที่มีความหมาย ซึ่งหมายถึงการท่องเที่ยวที่เน้นประโยชน์ของกิจกรรมที่เกิดขึ้น เป็นการท่องเที่ยวที่มากกว่าการเดินทางไปสถานที่ยอดฮิต ประเด็นสำคัญคือมีกิจกรรมบางอย่างที่เติมเต็มความหมายของการเดินทาง ครอบคลุมตั้งแต่การท่องเที่ยวและทำกิจกรรมในชุมชนเล็กๆ หรือเที่ยวในป่าแนวธรรมชาติ ไปจนถึงการเดินทางเพื่อเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ในสถานที่แปลกใหม่
ในขณะเดียวกัน หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีทเจอร์นัลได้รายงานในวันที่ 14 ม.ค. ว่า สหรัฐฯ อาจกลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยงสำหรับกลุ่มคนที่ต้องการมารับวัคซีนต้านโควิด-19 โดยรัฐฟลอลิดาจะเป็นสถานที่นิยมเป็นอันดับต้น ๆ สำหรับการท่องเที่ยวในรูปแบบนี้ เพราะทางรัฐ ไม่ได้มีการขอดูหลักฐานยืนยันถึงถิ่นที่อยู่ของคนที่ต้องการรับวัคซีน โดยสิ่งเดียวที่ทางรัฐได้กำหนดไว้คือ ผู้ที่จะมารับวัคซีนต้องมีอายุ 65 ปีขึ้นไป และเนื่องมาจากแผนการฉีดวัคซีนที่ค่อนข้างเปิดกว้างนี้ ได้ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั้งใกล้และไกลที่หวังว่าจะได้รับวัคซีน โดยได้มีนักท่องเที่ยวที่เดินทางมารับวัคซีนที่รัฐฟลอริดาเป็นจำนวนมาก ทั้งจากแคนาดา อาร์เจนตินา นิวยอร์กและรัฐอื่น ๆ
นายรอน เดอซานทิส ผู้ว่าการรัฐฟลอลิดากล่าวในงานแถลงข่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า นักท่องเที่ยวเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นผู้พำนักอาศัยระยะยาวของฟลอลิดา จึงไม่จัดว่าเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มารับวัคซีน
“ถ้าพวกเขามีที่อยู่อาศัยและพวกเขาไม่ได้แค่บินมาเที่ยวเพียงแค่หนึ่งหรือสองสัปดาห์ผมก็ไม่มีปัญหา” นายเดอซานทิสกล่าว “นั่นแตกต่างจากคนที่แค่แวะมาเที่ยว เราไม่สนับสนุนให้ผู้คนมาที่ฟลอริดาเพื่อรับวัคซีน”
ในขณะเดียวกัน สำนักข่าว Gulte.com ได้รายงานว่าชาวอินเดียหลายร้อยคนให้บริษัททัวร์ในอินเดียช่วยหาแพ็คเกจการท่องเที่ยวในสหรัฐฯ เพื่อไปรับวัคซีนที่มีคุณภาพ โดยมีบริษัทท่องเที่ยวด้านวัคซีนในกัลกัตตาและมุมไบได้รับการติดต่อทางโทรศัพท์หลายพันครั้งเพื่อสอบถามเกี่ยวกับแพ็คเกจนี้
ทัวร์วัคซีนที่ขายอยู่ในอินเดียเป็นแพ็คเกจ 4 วัน โดยมีค่าใช้จ่ายประมาณ 2,000 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นแพ็คเกจที่รวมตั๋วเครื่องบินไป – กลับชั้นประหยัด การเข้าพักโรงแรมระดับสี่ดาว รถรับส่งสนามบิน และวัคซีนหนึ่งเข็มต่อคน
นอกจากนี้ ยังมีแพ็กเกจวีไอพีที่เสนอราคาประมาณ 2,300 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งรวมค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับวัคซีนของไฟเซอร์ และอาหารเช้า แม้ว่าจะไม่มีการระบุวันที่สำหรับแพ็คเกจเหล่านี้ แต่ได้มีคนสนใจลงทะเบียบกับบริษัทการท่องเที่ยวแล้วหลายร้อยคน