นาย Andrew Cuomo ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก เตรียมเรียกเก็บภาษีจากผู้มีรายได้สูงและบริษัทต่าง ๆ เพิ่มอีกหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี เพื่อเป็นเงินทุนสำหรับการใช้จ่ายที่สูงขึ้นท่ามกลางการระบาดใหญ่ของเชื้อโควิด-19
วุฒิสภารัฐนิวยอร์กผ่านร่างกฎหมายงบประมาณของรัฐมูลค่ากว่า 2.12 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับปีงบประมาณ 2565 โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. ปีนี้ หลังจากหารือและบรรลุข้อตกลงกับนาย Cuomo ได้เมื่อวันที่ 6 เม.ย.ที่ผ่านมา
รัฐนิวยอร์กจะได้รับเงินภาษีเพิ่มขึ้น 2.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการปรับอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้สูงขึ้น และ 750 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลที่สูงขึ้น ในปีงบประมาณ 2565 และในปีงบประมาณ 2566 จำนวนเงินที่เรียกเก็บจากภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคลจะมีมูลค่า 3.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามลำดับ
ชาวนิวยอร์กที่มีรายได้มากกว่าประมาณ 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี จะต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในอัตรา 10.9% จากเดิม 8.82% สำหรับผู้มีรายได้ประมาณ 5-25 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จะเพิ่มขึ้นเป็น 10.3% จากเดิม 8.82% ส่วนบุคคลที่มีรายได้ตั้งแต่ประมาณ 1-5 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี เพิ่มขึ้นเป็น 9.65% จากเดิม 8.82%
นอกจากนี้ ชาวนครนิวยอร์กยังต้องจ่ายภาษีเมืองด้วยอัตราสูงสุด รวมอัตราการเสียภาษีสำหรับผู้มีรายได้สูงสุดจะอยู่ระหว่าง 13.5% ถึง 14.8% ซึ่งสูงกว่าอัตรา 13.3% ในแคลิฟอร์เนียซึ่งปัจจุบันสูงที่สุดในประเทศ โดยรวมแล้วผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า อัตราการเก็บภาษีเพิ่มขึ้นของรัฐพร้อมกับรัฐบาลกลางจะหมายความว่าชาวนครนิวยอร์กที่ร่ำรวยที่สุดจะได้รับผลกระทบจากอัตราส่วนเพิ่มรวมที่ 51.8% ซึ่งสูงกว่าบางประเทศในยุโรป
นาย Cuomo กล่าวว่า อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับบริษัทที่มีรายได้มากกว่า 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี จะเพิ่มจาก 6.5% เป็น 7.25% เป็นเวลา 3 ปี ขณะเดียวกัน รัฐนิวยอร์กได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลกลาง 1.26 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐสำหรับปีงบประมาณนี้
นาย Cuomo เสริมว่า การเปลี่ยนแปลงอัตราภาษีเหล่านี้จะเกิดขึ้นก่อนการยกเลิกลดหย่อนภาษีของรัฐและภาษีท้องถิ่น (State and Local Tax) ซึ่งจะทำให้ภาษีสุทธิในรัฐลดลง โดยการปรับขึ้นอัตราภาษีดังกล่าวได้รับความเห็นชอบจากสมาชิกสภานิติบัญญัติกลุ่มหัวก้าวหน้า แต่เผชิญกระแสวิพากษ์วิจารณ์จากภาคธุรกิจ
แถลงการณ์จากเฮเธอร์ บริกเชตตี ประธานและซีอีโอของสภาธุรกิจแห่งรัฐนิวยอร์ก ระบุว่า การเรียกเก็บภาษีเพิ่มขึ้นหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งรวมถึงการปรับเพิ่มภาษีภาคธุรกิจนั้นไม่ใช่สิ่งจำเป็น เนื่องจากนิวยอร์กได้รับเงินสนับสนุนจำนวนมากจากรัฐบาลกลางอยู่แล้ว
บริกเชตตี กล่าวเสริมว่า ในขณะที่การช่วยเหลือภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดจากมาตรการล็อกดาวน์และข้อจำกัดของรัฐเพิ่มเติมนั้นเป็นสิ่งที่น่าส่งเสริม “เรากลัวว่าการเรียกเก็บเงินและภาษีเพิ่มเติมจะส่งผลกระทบต่อรัฐนิวยอร์กมากกว่าเอื้อให้เกิดการฟื้นตัว”
ส่วนด้านของ จาเร็ด วัลซัค รองประธาน State Projects at the conservative Tax Foundation ชี้ว่า การขึ้นภาษีของนิวยอร์กในครั้งนี้อาจเป็นแรงผลักดันให้ผู้ที่ทำงานจากที่ใดก็ได้ย้ายออกจากนิวยอร์กเป็นการถาวรเพื่อเลี่ยงการไม่ต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้น
“นายจ้างและลูกจ้างที่ทำงานจากที่ไหนก็ได้มีเพิ่มมากขึ้น และการขึ้นภาษีสำหรับผู้เสียภาษีรายใหม่ที่ทำงานได้จากทุกที่เป็นเรื่องที่มีความเสี่ยง” จาเร็ดกล่าว “โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้มีรายได้สูงที่มีความยืดหยุ่นสูงในการทำงาน ซึ่งหลายคนได้ย้ายถิ่นฐานชั่วคราวในช่วงที่มีการระบาดใหญ่ การเพิ่มอัตราภาษีสำหรับกลุ่มผู้เสียภาษีที่ทำงานจากที่ไหนก็ได้เป็นวิธีที่จะทำให้สูญเสียผู้เสียภาษีจำนวนมากไปทันที”