ค่าใช้จ่ายประจำวันในครัวเรือนกำลังปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องมาจากเศรษฐกิจที่หยุดชะงักไปในช่วงการระบาดหนักของโควิด-19 ส่งผลให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคเดือน มี.ค. 2564 เพิ่มขึ้น 2.6 % เมื่อเทียบปีที่ผ่านมา
เมื่อวันที่ 13 เม.ย. ที่ผ่านมา สำนักงานสถิติแรงงาน (Bureau of Labor Statistics) เผยตัวเลขดัชนีราคาสินค้าผู้บริโภคประจำเดือน มี.ค. 2564โดยพบว่ามีอัตราเพิ่มขึ้น 0.6% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นรายเดือนที่สูงที่สุดในรอบเกือบทศวรรษ ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมา ราคาสินค้าโดยรวมเพิ่มขึ้น 2.6%
ราคาน้ำมันรถยนต์ปรับตัวสูงขึ้น 9.1% ในเดือน มี.ค. 2564 และตั้งแต่เดือน ก.พ. เป็นต้นมา ราคาผักและผลไม้ปรับตัวสูงขึ้นเกือบ 2% และดัชนีราคาเนื้อสัตว์ สัตว์ปีก ปลา และไข่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.4%
การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ เกิดจากราคาที่ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงที่มีการกักตุนอาหารในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 เมื่อปีที่แล้ว จนส่งผลให้ห่วงโซ่อุปทานมีการหยุดชะงัก และหลังจากนั้นราคาก็ไม่เคยปรับตัวลดลงมาอีก
ที่ซูเปอร์มาร์เก็ตในเมือง Long Island รัฐนิวยอร์ก นาย จอห์น เคอร์มาจ กล่าวว่า เขาเห็นว่าราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้นในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา “เราเคยซื้อเหล่านี้ได้ในราคา 30 ดอลลาร์สหรัฐ ตอนนี้ผมต้องจ่ายเพิ่มเป็น 60 ดอลลาร์สหรัฐ” เขากล่าว โดยนาย เคอร์มาจ พยายามปรับตัวโดยการซื้อแต่ของที่จำเป็นและหลีกเลี่ยงสินค้ายี่ห้อดัง แต่นั่นอาจหมายถึงการงดซื้อเนื้อสัตว์และปลาสดด้วย
จากข้อมูล ณ จุดขายที่ซูเปอร์มาร์เก็ต รวบรวมโดยบริษัท NielsenIQ ระบุว่า ก่อนที่การระบาดของโควิด-19 จะเริ่มขึ้น ราคาเฉลี่ยของเบคอนในสหรัฐฯ จำนวน 1 ปอนด์ในเดือน ม.ค. 63 อยู่ที่ 4.72 ดอลลาร์สหรัฐ แต่เมื่อเดือนที่แล้วราคาสูงขึ้นเป็น 5.11 ดอลลาร์สหรัฐ เนื้อบดมีราคาเพิ่มขึ้นจาก 5.02 ดอลลาร์สหรัฐ เป็น 5.26 ดอลลาร์สหรัฐต่อปอนด์ และขนมปังมีราคาเพิ่มขึ้นจาก 2.44 ดอลลาร์สหรัฐ อยู่ที่ 2.66 ดอลลาร์สหรัฐ
ราคาของสินค้าในบางพื้นมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก เช่น ในเมือง Boston และ Philadelphia ที่ประชาชนต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้นเกือบหนึ่งดอลลาร์สหรัฐต่อปอนด์สำหรับเบคอน เมื่อเทียบกับนคร Chicago ที่เพิ่มขึ้นประมาณ 70 เซนต์ และในเมือง Dallas ที่สินค้าหลายรายการอย่าง ไข่ อกไก่ เนื้อบดสด และขนมปังแซนวิช ปรับตัวเพิ่มขึ้นพร้อมกันในอัตรา 5%
การเปลี่ยนแปลง ณ จุดชำระเงินยังส่งผลต่ออัตรากำไรของร้านค้า โดยผู้ผลิตได้ลดรายการส่งเสริมการขายต่าง ๆ และลดการใช้คูปองลงเพื่อลดความต้องการในการกักตุนสินค้าลงในช่วงเดือน มี.ค. ปีที่แล้ว
“ในแต่ละเดือนที่ภาวะซื้อขายเป็นปรกติ เราจะขายสินค้าได้ 31.5% จากการส่งเสริมการขาย แต่ในช่วงเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา เราขายได้เพียง 28.6%” ฟิล เทเดสโก รองประธานฝ่ายการวิเคราะห์ข้อมูลสำหรับการค้าปลีกของ NielsenIQ กล่าว
นักเศรษฐศาสตร์กล่าวว่า ต้นทุนจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่พุ่งสูงขึ้น การนำเข้าที่เพิ่มขึ้นจากจีน ความเสียหายอย่างหนักจากพืชผลในแถบภาคตะวันตกของสหรัฐฯ และปัจจัยอื่น ๆ ล้วนส่งผลกระทบไปยังผู้บริโภครายย่อย
“ราคาน้ำมันและต้นทุนการขนส่งจะส่งผลกระทบต่อไปยังผู้บริโภค เนื่องจากอัตราความต้องการสินค้าที่เพิ่มสูงกว่าอัตราการผลิตน้ำมัน ดังนั้นราคาสินค้าในร้านขายของชำจึงมีแนวโน้มที่สูงขึ้นอย่างน้อยไปจนถึงในช่วงที่เหลือของปีนี้” ไอแซคโอลเวรานักเศรษฐศาสตร์การเกษตรของ ArrowStream บริษัท ซอฟต์แวร์การจัดการซัพพลายเชน กล่าว “ในที่สุด ผู้ผลิตอาจเพิ่มผลผลิตเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น แต่จะไม่เกิดขึ้นจนกว่าจะถึงสิ้นปีนี้”
ทางทำเนียบขาวคาดการณ์เมื่อวันที่ 12 เม.ย. ว่าอัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นและจะไม่ปรับตัวลดลง
เจเร็ด เบริ์นสตีน และ เออร์นี่ เทเดสชี่ สมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้กล่าวถึงปัจจัยชั่วคราว 3 ประการที่ผลักดันการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อว่า อัตราการเพิ่มขึ้นดูจะรวดเร็ว หากดูจากจุดเริ่มต้นในระดับต่ำ แต่ในขณะเดียวกันห่วงโซ่อุปทานก็หยุดชะงัก และความต้องการบริการมีเพิ่มขึ้น
“เราคิดว่าแนวโน้มที่น่าจะเกิดขึ้นในช่วงหลายเดือนข้างหน้าคือ อัตราเงินเฟ้อที่จะเพิ่มขึ้นอย่างพอประมาณ … และจะเริ่มลดอัตราการขยายตัวลง ไปสู่อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นตามปกติ”
“อาหารเป็นสิ่งจำเป็น” เจสัน ลัสค์ นักเศรษฐศาสตร์เกษตรของมหาวิทยาลัย Purdue กล่าว “ครัวเรือนที่มีรายได้น้อยต้องแบ่งรายได้มาจ่ายค่าอาหารมากขึ้น ราคาอาหารที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลกระทบต่อครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำมากขึ้น”
ดังนั้น ผู้บริโภคควรเริ่มตั้งงบประมาณสำหรับการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคให้ดี เพราะดัชนีราคาสินค้าผู้บริโภคล่าสุดแสดงให้เห็นว่าราคาสินค้าต่าง ๆ กำลังเพิ่มขึ้นและมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นต่อไปอีก
อ้างอิงข้อมูลจาก
https://www.nbcnews.com/business/consumer/get-ready-higher-grocery-bills-rest-year-n1263897
