“หินดินดาน” แหล่งผลิตน้ำมันที่กำลังถูกจับตามองจากนักลงทุนสหรัฐฯ

“หินดินดาน” แหล่งผลิตน้ำมันที่กำลังถูกจับตามองจากนักลงทุนสหรัฐฯ

Photo Credit: ประชาชาติธุรกิจ

หลังการเลือกตั้ง ปธน. เมื่อ พ.ย. 59 กระแสการผลิตน้ำมันจากหินดินดานก็เป็นที่จับตามองในสหรัฐฯ ตามนโยบายทรัมป์ในการสนับสนุนการผลิตน้ำมันจากหินดินดาน (Shale) หรือหินต้นกำเนิดปิโตรเลียม ทำให้เหล่านักลงทุนพุ่งความสนใจมาลงทุนในอุตสาหกรรมดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2560 มีการร่วมทุนระหว่างนักลงทุนภาคเอกชนเพิ่มขึ้น 19.8 ล้านเหรียญสหรัฐซึ่งมากกว่าปีก่อนหน้าในช่วงเวลาเดียวกันถึงเกือบสามเท่า

อุตสาหกรรมการผลิตน้ำมันจากชั้นหินดินดานได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นจากนักลงทุนไม่ใช่เพราะราคาน้ำมันที่ไม่มั่นคงแต่เป็นเพราะต้นทุนการผลิตน้ำมันจากชั้นหินดินดานที่ลดลงเหลือเพียงครึ่งหนึ่งของต้นทุนการผลิตน้ำมันดิบในช่วงสองปีที่ผ่านมา สร้างความมั่นใจให้นักลงทุนว่าพวกเขาจะเพิ่มกำไรและต่างพากันสนับสนุนการลงทุนกับบริษัทแท่นขุดเจาะน้ำมันเพื่อเร่งการผลิตให้ได้โดยเร็ว

ปัจจุบันการลงทุนโดยกองทุนป้องกันความเสี่ยงและบริษัทที่ลงทุนในการขุดเจาะชั้นหินดินดานไม่เพียงพอ แต่การลงทุนจากนักลงทุนร่วมหุ้นภาคเอกชนแสดงให้เห็นถึงความเฟื่องฟูในอุตสาหกรรมหินดินดาน กองทุนรวมจากบริษัทเอกชนที่เกิดขึ้นใหม่ต่างอัดฉีดเงินลงทุนในอุตสาหกรรมนี้ ซึ่งหากยังมีความนิยมอย่างต่อเนื่องสหรัฐฯ จะมีน้ำมันกักตุนในประเทศมากถึง 533 ล้านบาร์เรล เพียงพอสำหรับการใช้งานในประเทศถึง 25 วัน

หลังจากสหรัฐฯ ยกเลิกห้ามการส่งออกน้ำมันเมื่อปี 59 Energy Information Administration (EIA) รายงานว่า สถานการณ์การส่งออกน้ำมันดิบของสหรัฐฯ พุ่งขึ้นไปที่ 746,000 บาร์เรลต่อวัน แต่ในต้นเดือนมี.ค. 60 ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวลดลงต่ำกว่า 50 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ทำให้สหรัฐฯ นำเข้าน้ำมันดิบจากประเทศต่าง ๆ อาทิ เวเนซุเอลา มากขึ้นโดยให้เหตุผลว่า

  1. น้ำมันดิบจากต่างประเทศมีคุณภาพดีกว่า
  2. ความกังวลต่อนโยบายการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าสหรัฐฯ (Border Adjustment Tax)
  3. ราคาน้ำมันที่อาจปรับตัวสูงขึ้นในอนาคต
  4. การกักตุนก่อนการตัดสินใจปรับลดการผลิตน้ำมันของกลุ่มประเทศสมาชิก OPEC

อย่างไรก็ดี ราคาน้ำมันได้ปรับตัวขึ้นมากกว่า 50 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ในเดือนเม.ย. 60 ทำให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกกลับสู่สภาวะปกติอีกครั้ง นักลงทุนสหรัฐฯ คาดการณ์ว่ากลุ่มประเทศสมาชิก OPEC จะขยายเวลาการลดกำลังการผลิตน้ำมันเพื่อถ่วงดุลไม่ให้ราคาน้ำมันลดต่ำกว่าในปัจจุบัน หลังจากที่ได้ปรับลดกำลังการผลิตลง 558,000 บาร์เรลต่อวัน โดยมีผลบังคับใช้เป็นเวลา 6 เดือน ตั้งแต่ 1 ม.ค.ถึง มิ.ย. 60 พวกเขาเชื่อมั่นว่าสหรัฐฯ ได้เปรียบกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันอื่น ๆ เพราะมีกำลังการผลิตที่สามารถตอบสนองความต้องการตลาดโลกได้อย่างรวดเร็วไม่ว่าจะเป็นเรื่องแหล่งผลิต โรงกลั่นน้ำมัน และแหล่งกักตุนน้ำมันดิบทั้งที่มีอยู่และกำลังพัฒนาในสหรัฐฯ เหล่านี้เองทำให้เหล่านักลงทุนต่างพากันเพิ่มการลงทุนในอุตสาหกรรมการผลิตน้ำมันจากชั้นหินดินดาน ปัจจุบันบริษัทปตท.สผ. และบ้านปูของประเทศไทยได้เข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมนี้แล้ว

คงต้องรอดูการตัดสินใจของกลุ่มประเทศสมาชิก OPEC ที่จะจัดขึ้นในเดือน พ.ค. 60 ที่กรุงเวียนนา ต่อไปว่าจะขยายระยะเวลาการลดกำลังผลิตน้ำมันหรือไม่ ราคาน้ำมันตลาดโลกจะปรับขึ้นลงอย่างไร และการเพิ่มแหล่งขุดเจาะน้ำมันของสหรัฐฯ จะส่งผลต่อสถานการณ์ในตลาดโลกมากน้อยเพียงใด

ที่มา

http://www.reuters.com/article/us-usa-shale-funders-analysis-idUSKBN17J0BK

https://www.forbes.com/sites/rrapier/2017/04/17/why-u-s-crude-oil-imports-are-rising/#7c5f571b143f

http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/750015

http://www.ryt9.com/s/iq35/2632024

1,503 views

Newsletter Subscription

สนใจรับข่าวสารและกิจกรรมที่เป็นโอกาสของไทย
Email Address
Secure and Spam free...
Go to Top