ทรัพย์สินทางปัญญา: อาวุธร้ายต่อไทยเข้าร่วม TPP จริงหรือ?

2018-06-07T23:02:14-04:00December 17, 2015|Categories: เศรษฐกิจ|

ทรัพย์สินทางปัญญา: อาวุธร้ายต่อไทยเข้าร่วม TPP จริงหรือ?

ความตกลงหุ้นส่วนแปซิฟิก (Trans-Pacif ic Partnerships) หรือที่รู้จักกันในชื่อ TPP ซึ่งนำโดยประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา และประกอบด้วยชาติสมาชิก ได้แก่ แคนาดา เม็กซิโก เปรู ชิลี ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น มาเลเซีย สิงคโปร์ บรูไน และเวียดนาม

ความตกลงนี้จะมีผลบังคับใช้เมื่อผ่านพ้น 60 วัน นับแต่วันที่ทั้ง 12 ประเทศได้รับการอนุมัติจากรัฐสภาของแต่ละประเทศ และได้ให้สัตยาบันครบทั้ง 12 ประเทศต่อประเทศนิวซีแลนด์ ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้รับสัตยาบันจากประเทศสมาชิกแล้วเท่านั้น หรือมีอย่างน้อย 6 ประเทศ จาก 12 ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจคิดเป็นร้อยละ 85 ของ GDP ทั้งหมดในปี 2556 ของประเทศสมาชิกได้ให้สัตยาบัน

นอกจากจะเป็นความตกลงการค้าเสรีที่มีขนาด ใหญ่ที่สุดในโลก (Mega FTA) แล้ว TPP ยังมีความร่วมมือทางด้านอื่น ๆ อีกหลายด้านด้วยกัน เช่น ทรัพย์สินทางปัญญา มาตรฐานแรงงาน การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ การทุจริตคอร์รัปชัน

ประเทศไทยแม้จะไม่ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิก แต่ในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา เริ่มมีการวิพากษ์วิจารณ์ต่อประเด็นการเข้าร่วม/ไม่เข้าร่วมเป็นสมาชิก TPP ของไทย จากหลาย ๆ กลุ่มไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้ประกอบการในหลาย ๆ สาขาของไทย รวมถึงประชาชนทั่วไป ซึ่งแต่ละกลุ่มต่างก็แสดงทัศนะที่แตกต่างกันออกไปต่อประเด็นดังกล่าวเพื่อ ชั่งน้ำหนักระหว่างผลดีและผลเสียของการเข้าร่วมหรือไม่เข้าร่วมที่จะมีผล กระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศไทย

เรื่องทรัพย์สินทางปัญญาเป็นประเด็นหนึ่ง ที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ไม่น้อยเพราะไทยอาจได้รับผลกระทบมากหากเข้าร่วมเป็น สมาชิก TPP ซึ่งความตกลง TPP อาจเป็นอาวุธร้ายที่จะมาประหัตประหารผู้ประกอบการไทยได้ เนื่องจากในความตกลงได้ขยายเวลาการคุ้มครองลิขสิทธิ์ จาก 50 ปี เป็น 75 ปี และขยายอายุการคุ้มครองสิทธิบัตรยาออกเป็น 20 ปี โดยผู้ประกอบการไทยอาจต้องยอมเสียเงินจำนวนที่สูงขึ้นเพื่อให้ได้มาซึ่ง สิทธิในการใช้สินค้าที่เป็นทรัพย์สินทางปัญญาเหล่านี้

ในกรณีของสิทธิบัตร ผู้ถือสิทธิบัตรจากต่างประเทศที่ประสงค์จะใช้ประโยชน์จากสินค้าที่เป็น ทรัพย์สินทางปัญญาของตน จะต้องนำมายื่นคำขอและจดทะเบียนต่อกรมทรัพย์สินทางปัญญาในไทยเสียก่อน ซึ่งคงไม่ต่างจากแนวทางปฏิบัติที่มีอยู่แล้ว แต่ที่แตกต่างออกไปน่าจะเป็นจำนวนผู้ยื่นคำขอและจดทะเบียนที่มาจากประเทศ สมาชิกโดยเฉพาะญี่ปุ่นและสหรัฐ เนื่องจากเป็นประเทศที่มีการคิดค้นเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ ออกมาอยู่เสมอ

โดยในรอบ 10 ปี ระหว่างปี 2548-2557 ญี่ปุ่นมีแนวโน้มการจดทะเบียนสิทธิบัตรในไทยมากขึ้นและในปีที่ผ่านมามีการจด สิทธิบัตรกว่า 1,200 รายการ ซึ่งมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง โดยมีสหรัฐฯ ตามมาเป็นอันดับสอง

ทั้งนี้ ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เข้ามาลงทุน FDI (Foreign Direct Investment) หรือการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศสูงสุดในไทย โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมภาคการผลิต เช่น สินค้าในหมวดเครื่องใช้ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ หมวดยานยนต์และชิ้นส่วนประกอบยานยนต์ ซึ่งสินค้าและวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตสินค้าหลายรายการเป็นส่วนหนึ่งของ สิทธิบัตร หากไทยเข้าร่วมเป็น สมาชิก TPP ก็จะต้องคุ้มครองปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาอย่างเข้มงวดโดยเฉพาะสิทธิบัตรยา

นอกจากนี้ ความตกลงยังบังคับให้สมาชิกต้องมีการคุ้มครองข้อมูลยาที่ทำจากสิ่งมีชีวิต หรือ Biologic Medicines เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 5 ปี จึงจะเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับตัวยาชนิดนั้น ๆ หรือเปิดให้ผู้ผลิตยารายอื่น เข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับตัวยาชนิดนั้น ๆ ได้ ซึ่งเป็นระดับการคุ้มครองที่สูงกว่าเกณฑ์ของความตกลงทริปส์ (TRIPS) และขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WIPO) ในขณะ ที่สหรัฐฯ ต้องการคุ้มครองยาถึง 12 ปี ด้วยเหตุผลด้านแรงจูงใจในการผลิตและผลกระทบที่จะเกิดขึ้น คือ การลดการแข่งขันในอุตสาหกรรมยาและทำให้เกิดผู้ผูกขาด จนส่งผลให้ยามีราคาที่แพงขึ้น

ส่วน ทรัพย์สินทางปัญญาอื่น อย่างกรณีเครื่องหมายการค้าก็จะต้องมีการยื่นคำขอจดทะเบียนเช่นเดียวกัน โดยประเทศที่น่าจะได้รับประโยชน์โดยตรง ได้แก่ ญี่ปุ่นและสหรัฐฯ ขณะที่ลิขสิทธิ์จำพวกงานเพลง ภาพยนตร์ หนังสือ ตำราเรียน งานศิลปะต่าง ๆ เหล่านี้จากประเทศสมาชิกก็จะได้รับการคุ้มครองที่ยาวนานขึ้นด้วย โดยที่งานเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องจดทะเบียน อาศัยเพียงแต่การจดแจ้งต่อกรมทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อเป็นข้อมูลทางสถิติ

เมื่อ พิจารณาในอีกแง่มุมหนึ่ง หากไทยมีเป้าหมายที่จะมุ่งสู่การเป็นชาติการค้าหรือ Trading Nation ตามที่กระทรวงพาณิชย์ตั้งเป้าที่จะเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันทางการค้าของไทย กับนานาประเทศ ปัจจัยที่สำคัญประการหนึ่งสำหรับการเข้าสู่เป้าหมายดังกล่าว คือ การเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตของผู้ประกอบการไทย โดยการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมอยู่เสมอ เพื่อเพิ่มมูลค่าของสินค้าให้มีเอกลักษณ์ แปลกใหม่และแตกต่างจากสินค้าของประเทศคู่แข่ง ลดต้นทุนในการผลิต พัฒนาสินค้าโดยเฉพาะด้านทรัพย์สินทางปัญญา โดยการยื่นคำขอ และจดทะเบียนในประเทศสมาชิกอื่น ๆ เสมือนเป็นการนำสินค้าออกไปขายยังต่างประเทศ เพื่อนำรายได้กลับเข้าสู่ไทย

หากผู้ ประกอบการไทยมีการพัฒนาการผลิตปรับปรุงสินค้าของตนเองอย่างสม่ำเสมอ โดยผ่านการคิดค้นนวัตกรรมที่มีความคิดสร้างสรรค์ สร้างผลงานที่ดีมีคุณภาพออกสู่ตลาด ทรัพย์สินทางปัญญาก็จะไม่ใช่อาวุธร้ายที่ทำอันตรายแก่ผู้ประกอบการไทยอีกต่อ ไปเมื่อเข้าสู่ตลาดของ TPP

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ปีที่ 29 ฉบับที่ 9947 วันที่ 17 ธันวาคม 2558 หน้าที่ 10

ขอบคุณข้อมูล: กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ

Share This Post!

23 views

Newsletter Subscription

สนใจรับข่าวสารและกิจกรรมที่เป็นโอกาสของไทย
Email Address
Secure and Spam free...
Go to Top